วันพฤหัสบดีที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2559

ข้อข้องใจการทำบุญบ้าน



ไขข้อข้องใจงานทำบุญ 



----------------
………ทำบุญบ้านเราเองก็ดี ช่วยงานบ้านคนอื่นก็ดี มีปัญหาข้อสงสัยมากมายที่น่าหาคำตอบสำหรับ
ผมคนขี้สงสัย เจออะไรแปลก ๆ ก็เก็บมาคิด ทำไมต้องทำอย่างนั้น ทำอย่างอื่นได้ไหม ทำแล้วมันถูก
ต้องเหมาะสมไหม ทำนองนี้ คนอื่นอาจเฉยๆ แต่เราชอบหยิบเรื่องไม่เป็นเรื่องมาคิดน่ะครับ มีอะไรให้
คิดบ้างล่ะ
.......ทำไมต้องทำบุญบ้าน ปรารภเหตุมากมาย ได้ลูกคนใหม่ ทำนาได้ข้าวมาก ๆ ดีใจได้โชคลาภ 
หายเคราะห์เข็ญ ล่วงปัญหาที่ทำให้ทุกข์โศก รำลึกถึงบิดามารดาหรือญาติที่ล่วงลับ มีงานมงคล
เช่น 
บวชนาค โกนจุก แต่งงาน ฯลฯ ก็ทำบุญ 
.......อยากทำบุญบ้านบ้าง เตรียมพร้อมอย่างไร ทำบุญแบบชาวพุทธ นิยมนิมนต์พระเจริญพุทธมนต์
ที่บ้าน ถวายภัตตา หารที่บ้าน เลี้ยงแขกที่มาร่วมทำบุญ จึงต้องมีค่าใช้จ่าย เป็นค่าภัตตาหารพระ ค่า
จตุปัจจัยถวายพระ อีกส่วนคือค่าใช้จ่าย ในการรับรองแขกที่มาร่วมงานเชิญน้อยค่าใช้จ่ายน้อยเชิญ
มาก
ค่าใช้จ่ายมาก ประมาณการค่าใช้จ่ายสองส่วนนี้แล้ว บวกอีก สัก 5 เปอร์เซ็นต์ นั่นแหละที่ต้อง
เตรียม
สตังค์ไว้ก่อนคิดทำบุญบ้าน บุญอื่น ๆใช้หลักเดียวกันนี้ก็ได้ 
.......บ้านคับแคบหรือไม่ก็เป็นห้องเช่าห้องเดียวแต่ก็อยากทำบุญบ้านก็คงทำไม่ได้ แต่ทำบุญเฉย ๆ 
ได้ คำนวณบุญที่จะ ได้จากการทำบุญบ้านมีไม่กี่อย่าง หรอก แล้วนำมาปรับใช้ในการทำบุญของเรา 
ทำบุญบ้านเขาได้บุญจากไหน ทานมัยทำบุญบ้านของทำอะไร ถวายภัตตาหาร ถวายไทยทาน เลี้ยง
อาหารแขก ปฏิบัติศีล ฟังเทศน์ เราทำให้ไกล้เคียงกับการ ทำบุญบ้านได้นี่เตรียมอาหารคาวหวานใส่
ปิ่นโต 7-9 เถาไปถวายสังฆทานพระที่วัดถวายทั้งปิ่นโตไปเลย ถ้ามีจตุปัจจัยอย่างอื่นถวายไปด้วย นี่
บุญได้เท่ากับที่เขาถวายทานที่บ้าน รายจ่ายเท่ากันหรือมากกว่าก็ทำได้ เลี้ยงแขกงานทำบุญบ้าน
30-100 คน คงไม่เกินนี้ เราอยู่ห้องเช่าเชิญแขกมาร่วมคงทำได้ยาก เราก็ไปเลี้ยงแขกข้างนอกซิ
ไปโรงเรียนเด็กที่โรงเรียนจัดบริการอาหารกลางวันให้ทุกคน แถวชนบทเขาจัดเวรแม่บ้านออกไปทำ

อาหารที่โรงเรียน เด็กสอง-สามร้อย คน จองซักสองโรงเรียนยังไหว ได้เลี้ยงอาหารเที่ยงเด็ก แถมครู
นักการด้วย ทำไหวเหรอ ก็ถามเขาซิงบประมาณวันละเท่าไร มอบให้เขาไปเลย จอง 5 วันยังได้เลย
อันนี้น่าจะได้บุญมากกว่าเลี้ยงแขกทำบุญบ้านนะ ส่วนปฏิบัติศีลเราก็ทำได้อยู่แล้ว ข้อจำกัดเรื่อง
สถานที่ น่าจะผ่านไปได้
.......ทำบุญบ้านพิธีกรให้บูชาศาลพระภูมิ วงด้ายสายสิญจน์รอบบ้าน อันนี้สงสัยว่าทำไปเพื่ออะไร
ศาลพระภูมิ คือสถานที่ เราจุดธูปเทียน วางดอกไม้ บูชาพระภูมิ พระภูมิอยู่ที่ศาลรึเปล่า ไม่อยู่หรอก
|ทำไม เขาทำพิธีตั้งศาลถูกต้องตามตำราเชียวนะ คิดง่าย ๆ คุณมีบ้านอยู่ราคาหลายแสนจนถึงหลาย
ล้าน วันหนึ่งก็มีลูกหลานมาตั้ง ศาลเพียงตา ข้างบ้านแล้วเชิญคุณลงจากบ้านไปอาศัยที่ศาลเพียงตา
คุณจะไปไหม ตอบเองก็ได้นี่ พระภูมิ ส่วนมากจะเป็นเทพหรือเทวดาประเภท ภุมมเทวดารุกขเทวดา
พวกนี้มีวิมานอยู่กับที่เป็นหลักแหล่ง ส่วนอากาสัฏฐกเทวดา วิมานลอยอยู่บนอากาศ เลื่อยลอยไปได้
ทั่วไป จะเป็นเทวดาภุมมเทวดาหรือรุกขเทวดา จะอุบัติมาพร้อมวิมานแก้ววิมานเงินวิมานทอง ตาม
พลังบุญกุศลที่มี ประมาณค่า หลายร้อยล้าน บริเวณบ้านเรา อาจมีวิมานภุมมเทวดา 1 วิมานหรือมาก
กว่า เมื่อเราสร้างบ้านเขาเห็นและรู้ว่ามีคนมาสร้าง บ้านอยู่อาศัย เมื่อมีคนตั้งศาลเขาก็รับทราบว่า คน
บ้านนี้นับถือพระภูมิ ที่เชิญไปสถิตศาลราคาไม่กี่พันไม่กี่หมื่น น่าขำมากกว่า เมื่อไปจุดธูปบูชา เขาก็
ทราบแบบคนบ้านใกล้เรือนเคียง ก็คงยินดีอนุโมทนาสาธุ ให้ศีลให้พรตามสภาพ แต่ตอนถวาย ของ
เครื่องสังเวย นี่น่าคิดนะ เพราะเทพ เขากินอาหารหยาบไม่ได้อยู่แล้ว เหมื่อนเราเอาเนื้อดิบปลาดิบ
ไปถวายพระนั่นแหละ พระฉันไม่ได้ ก็คงให้พรเอา ภุมมเทวดาเห็นก็คงขำ ๆ ด่าเอา หาว่าเราแกล้ง
ให้เขากลืนน้ำลายแต่กินไม่ได้ 
........ด้ายสายสิญจน์ ยกมาย่อหน้านี้แล้วกัน เดิมทีพรามหณ์ใช้เป็นด้ายที่มีมนต์ขลังแทรกในพิธีการ
สวดมนต์เมื่อไรยังไม่เคยไปสืบค้นดู ลือกันว่าขลังมากแบบหมอผีเขาใช้เวลาไปปลุกเสกของขลัง
ในป่าช้านั่นแหละ ผีไปแตะด้ายร้อนยัง กะไฟลวก ถ้าขลังขนาดนั้น ก็น่าเป็นห่วงนะทำบุญบ้านเห็น
วงรอบบ้านแบบหมอผีเขาทำนั่นแหละ ผีเข้าบริเวณบ้านไม่ได้ เทพต่าง ๆ ไม่กลัวสายสิญจน์หรอก
แต่น่าสงสารผีพวกหนึ่งตั้งใจจะมาร่วมทำบุญ และเป็นจุดประสงค์เจ้าบ้านด้วย อยากเชิญผีพวกนี้มา
บ้านเพื่อรับสว่นบุญ ผีญาติพี่น้องนั่นไง มาเจอด้ายสายสิญจน์ผ่านไม่ได้ คงยืนสรรเสริญเจ้าภาพอยู่
นอกเขตบ้าน สรรเสริญว่าอย่างไรคงเดาออกนะ ผีปู่ย่าตายายเราปากจัด ๆทั้งนั้น ความเห็นกระผม
ไม่จำเป็นนักหรอก เราไม่ได้เชิญหมอผี มาทำพิธีอะไรนี่นา วงด้ายกันผีไปทำไม ถึงมีผีผ่านมาก็แค่
มาขออนุโมทนารับส่วนบุญ ไม่ได้มาทำร้ายใคร
........จัดที่นั่งพระทำบุญบ้าน ที่นั่งพระปูลาดที่พื้นโต๊ะหมู่บูชาแล้วก็ผ้านิสีทนะ 7 รูปมีคนแก่มาร่วม
งาน10 กว่าคน เลย จัดวางโชฟานั่งพิงฝาห้อง ให้นั่งไหว้พระ ท่านนั่งนานไม่ไหวถามว่าเหมาะไหม
ไม่ต้องตอบก็ได้ ถายรูปออกมาดูกันได้ จะได้เห็นชัด ๆว่าพระกำลังไหว้คนแก่บนเก้าอี้โชฟา น่ารักดี
เนาะ เราจะยอมให้เฉพาะคนพิการที่ต้องนั่งรถเข็น นั่นเขามีความจำเป็นถ้าจะให้ดูดีก็ยกที่นั่งพระให้
สูงซะ อย่าให้ต่ำกว่าที่ชาวบ้านนั่งก็ใช้ได้
.......การประเคนของพระ ปกติให้ผู้ชาย ยกของสูงกว่าพื้นสักคืบแล้วยืนถวายให้ท่านรับ ถ้าของหนัก
ใช้ผ้าหรือเชือกม้วน ใส่พานยื่นถวายแทนกรณีผู้หญิงก็ประเคนได้ แต่ตอนวางรอให้ท่านพาดผ้าหรือ
วัสดุอย่างอื่นทอดวางกับพื้นแล้วเราค่อยวางสิ่งของบนผ้าและวัสดุนั้น ๆอย่าส่งของต่อมือพระ เพราะ
ทำให้พระต้องอาบัติ เราได้บาปแถมด้วย สิ่งของที่ประเคนแล้วอย่าไปช่วยจัดให้พระเพราะทำให้พระ
ไม่สามารถแตะต้องของนั้นได้ ถ้าขืนแตะก็ต้องอาบัติไง เช่น ถวายแกงแล้ว พระ วางไม่เรียบร้อย ไป
ช่วยจัดให้ แบบนี้พระจะไม่ฉันแกงถ้วยนั้นเลย ต้องยกถวายใหม่ถึงจะฉันได้
.......ระหว่างพระสวด ควรสำรวมกิริยามรรยาทนั่งฟังด้วยความเคารพ การส่งเสียงเอะอะ ทำกิจกรรม
ระหว่างพระสวด เป็นมรรยาทไม่ดี อย่าทำ กิจกรรมใด ๆ รอพระสวดเสร็จแล้วค่อยทำ เคยเห็นขณะ
พระกำลังสวด วัยรุ่นประกวดร้องเพลงอยู่ ข้างบ้าน มันเกินพอดี เดี๋ยวนี้เจอบ่อย บางงานพวกขี้เมาส่ง
เสียงดังกว่าพระสวดอีก งดสักชั่วโมงจะเป็นไรเชียว
.......พระฉันกับเลี้ยงแขก จัดอย่างไร ทำบุญบ้าน มีเลี้ยงพระกับเลี้ยงแขก แขกมาร่วมงานเขามีของ
ฝากติดมือมาร่วมทำบุญ บางคนก็กลับ บางคนก็อยู่ร่วมงานจนเสร็จงานแขกที่ไม่อยู่ร่วมงานเจ้าภาพ
มักจะเชิญไปรับประทานอาหารก่อนค่อยกลับ แถมจัดอาหารใส่ถุงฝากทางบ้านมอบให้ไปด้วย คนที่
เห็นไม่เข้าใจนึกตำหนิว่า รีบอะไรนักหนา พระยังไม่สวดเลยโยม ฉันก่อนแล้ว มันคนละส่วนกัน ขณะ
พระฉันเจ้าภาพควรนั่งดูแลอยู่ใกล้ ๆแบบพนักงานบริการนั่นแหละ เคยพบบางงานหนี กันหมด เรานั่ง
รับหน้าอยู่แทน หลวงพ่อฉันเสร็จก็ถามว่า เป็นไงโยมทำบุญบ้านเหนื่อยไหมก็ตอบท่านว่าขอรับท่าน
เหนื่อยแทน เจ้าภาพ ไม่รู้ไปรับแขกอยู่ไหน กระผมรับใช้แทนได้ขอรับ หลวงพ่อหัวเราะชอบใจ
......ถวายเงิน ถวายใบปวารณาบางครั้งเจอมัคทายกคุ้มวัดธรรมยุติตอนถวายปัจจัยดูแกกวดขันมาก
ต้องอย่างนั้นอย่างนี้ ใบปวารณาใส่ซองเรียบร้อยส่วนเงินมอบมัคทายกไป ส่วนคุ้มวัดมหานิกายเงิน
ใส่ซองถวายท่านก็รับ เลยมีข้อสงสัยว่าทำไม ไม่เหมือนกัน มีพระวินัยข้อหนึ่งระบุว่าพระรับเงินทอง
ต้องอาบัตินิสสัคคียปาจิตตีย์ ในโกสิยวรรค สิกขาบทที่ 8 ความว่า " อนึ่ง ภิกษุใดรับก็ดี ให้รับก็ดีซึ่ง
ทอง เงิน หรือ ยินดีทอง เงิน อันเขาเก็บไว้ให้ เป็นนิสสัคคิยปาจิตตีย์." ธรรมยุติถือเรื่องห้ามพระรับ
เงินทองจากชาวบ้าน แต่มีไวยาวัจจกรรับแทน ไปถึงวัดก็ต้องแยกให้ว่าของรูปไหนเท่าไร ตาม ที่
ระบุในใบปวารณา ตามหลักการเงินจะถูกส่งเข้าบัญชีแยกตัวเลขของแต่ละรูป เมื่อต้องการใช้เงินก็
แจ้งไวยาวัจจกร เหมือน เจ้าหน้าที่ธนาคาร ดูเข้าท่าดีไม่ต้องแตะต้องตัวเงินทอง ถามว่าพ้นอาบัติ
นิสสัคคียปาจิตตีย์ตามข้อ 8 ที่ยกมาให้อ่านไหม รับเองก็ผิด ให้คนอื่นรับแทนก็ผิด ยินดีพอใจเงิน
ที่เขาเก็บไว้ให้ก็ผิด ลองให้ไวยาวัจจกรทำตัวเลขผิดดูซิ โลกแตกแน่ ดังนั้นหลักการไม่รับเงินทอง
ของธรรมยุติจึงขลัง ใช้ได้ผลดีในระยะแรก ๆ แต่ปัจจุบันนี้ไม่ค่อยขลังแล้ว เพราะไม่พ้นผิดคือต้อง
อาบัตินิสสัคคีย์ปาจิตตีย์เท่ากัน
.........การรับของเหลือจากพระมาบริโภค อันนี้ชาวบ้านไม่เข้าใจหรอกพิธีกรควรกำกับให้ด้วย เพราะ
อาหารคาวหวานที่ถวาย ทานไปแล้วทุกอย่างเป็น ของสงฆ์พระบริโภคไม่หมดคืนให้พิธีกรควรกล่าว
คำขอ แค่คำง่าย ๆว่า ข้าพเจ้าขอรับอาหาร คาวหวานเหลือเศษจากสงฆ์ไปแจกจ่ายกันบริโภค เพื่อ
เป็นศิริมงคลด้วยเถิด แค่นี้ก็พอแล้ว จะได้ไม่ต้องเป็น พวกแอบบริโภคของสงฆ์ ความจริงพระท่าน
ไม่หวงหรอกขอท่านก็ให้ ไม่ขอท่านก็ให้ ขอแล้วรับเอาดีกว่า สบายใจดี
.........ประพรมน้ำมนต์ เจิม ต่าง ๆ อันนี้ไม่ใช่พิธีกรรมทางพุทธศาสนา มีแทรกเข้ามานานแล้ว เอา
อย่างพราหมณ์เขา โยมคะยั้นคะยอให้พระทำจนกลายเป็นกิจกรรมต้องมี พระสวดมนต์เลยต้องมี
หม้อน้ำมนต์ มีเทียนน้ำมนต์จุดถวายพระ ตอนสวดบทมงคลสูตร อเสวนา จ พาลานัง...ฯลฯ นั่น
แหละไปดับเทียนเอาตอนสวดถึงบท ขีนังปุรานัง ถือว่าสวดน้ำมนต์ ให้แล้ว หลังให้พรก็ทำพิธีรด
น้ำมนต์ให้ พระนอกนั้นก็สวดชยันโต ให้ จะพรมตรงไหน นำท่านไป ส่วนการเจิม ใช้ดินสอ พอง
หรือแป้งนวลก็ได้ ผสมกาวนิดหน่อย จะได้ติดง่าย เวลาพระเจิมจะได้ทำง่ายหน่อย เจิมหน้าบ่าว
สาวนี่อาบัติปาจิตตีย์ เชียวนะอย่าคิดว่าไม่เป็นไร ไม่ได้ยกเว้นให้เจิมประตูหน้าต่างตามสบาย ช่วย
ระวังพระหล่นตอนเจิมที่สูง ๆ แล้วกัน
.........ไปเจองานหนึ่งเขาห้ามสตรีมีครรภ์ฟังพระเจริญพุทธมนต์ สงสารนะสตรีคนนั้นแกเป็นเจ้าภาพ
ด้วยสิ เราเป็นแขก ไม่กล้าทักหรอกแค่ขำ ๆ ไปร่ำเรียนมาจากไหนกัน พระไม่รังกียจใครหรอก ขนาด
คนตายท่านยังโปรด ทำไมคนท้องจะ ฟังพระเทศน์ไม่ได้ คำที่สวดเป็นพระสูตรต่าง ๆในเจ็ดตำนาน
สิบสองตำนาน เป็นบทร้อยกรองกล่าวถึงหลักคำสอนของ พุทธศาสนาทั้งนั้น สตรีมีครรภ์ควรฟังมาก
กว่าคนอื่น ๆ เพราะเธอมีสองชีวิตที่ต้องการความเป็นศิริมงคลมากกว่าคนอื่น สมัยพุทธกาล พระเถระ
ที่หญิงมีครรภ์ต้องการฟังเทศนาจากท่านมากที่สุดคือ พระองคุลีมาล เล่าว่าฟังเทศน์ท่านแล้วเกิด มี
ความสวัสดีต่อคนฟังด้วยต่อลูกในครรภ์ด้วย จนเกิดมี อังคุลิมาลปริต ที่ลือกันว่าเป็นคาถาช่วยให้
คลอดง่ายนั่นแหละ ใครเป็นคนห้ามสตรีมีครรภ์ฟังพระเจริญพุทธมนต์ จำไว้เลยว่าคุณกำลังทำบาป
 ทำให้คนสองคนแม่ลูก ไม่ได้ฟังสิ่งที่เป็น ศิริมงคลแก่ชีวิตของพวกเขา
.......ไปเจอการทอดบังสุกุลเป็นแก่หมู วัว เขาเอาเขาวัวคู่หนึ่ง ใบหูหมูเฉี่ยวเอาตรงปลายและจมูก
ใส่ถาดมาให้พระชัก บังสุกุล เสร็จงานก็ถามพิธีกรว่านั่นทำอะไร เขาบอกว่าเจ้าภาพให้ล้มวัว 1 ตัว
หมู 1 ตัว เอามาทำอาหารเลี้ยงแขกในงาน ก็อยากทำบุญอุทิศให้พวกเขาไปด้วย พระก็ชักบังสุกุล
ให้ตามประสงค์ แปลกดี ทำบาปแล้วยังกลัวบาปอีก มันหนีไม่พ้นหรอก เหมือนลงน้ำแล้วกลัวเปียก
นั่นแหละ มันเปียกไปแล้ว บาปและบุญมันคนละส่วนกัน แก้กันไม่ได้หรอก วัวก็ตายไป จะมาบอกว่า
ขอโทษอย่ามีเวรกรรมแก่กันเลย วัวและหมูที่ไหนจะมายินดีให้อภัย หลอกตัวเองชัด ๆ เหมือนพวก
ฆ่าคนตายแล้วเอาดอกไม้มาขอขมาศพ น่าสมเพศไหมล่ะ ก่อนทำไม่คิด มาคิดตอนฆ่าลงไปแล้ว
ไร้สาระสิ้นดี
..........รับพรงานทำบุญบ้านหรือทำบุญอื่น ๆ การรับพรเป็นสาระสำคัญของการทำบุญ ไปบางงานเจ้า
ภาพเมาแอ๋ มารับพรไม่ได้ โง่เง่าจริง ๆ ลงทุนทำบุญหมดไปหลายพันหลายหมื่น ได้บุญมากมาย จะ
ใช้บุญซะหน่อย เมาซะนี่ เลยไม่ได้ใช้บุญ ให้เกิดประโยชน์ ถ้ามีญาติผู้ล่วงลับมารออนุโมทนาบุญอยู่
เจ้าภาพทำไม่ได้ก็โกรธซิ คงไม่สรรเสริญเจริญพรแน่ แช่งชัก น่ะแหละมากกว่า ก็บุญกองอยู่ตรงหน้า
มันอุทิศให้ พวกเราอนุโมทนา ก็ได้รับส่วนบุญแล้ว ฉันจะได้ไปเกิดแน่ถ้าได้บุญ เพิ่มมานิดหน่อย เสีย
ดาย อ้ายบ้ามันเมา...ฯลฯ ดังนั้นอยาละเลยการรับพรและอนุโมทนาส่วนบุญให้ญาติมิตร สำคัญมาก
..........ไปงานทำบุญบ้านงานหนึ่งเจอเจ้าภาพประเภทเหนียวหนึบ นั่งเฝ้าเข่งขนมจีน เข่งข้าวต้มมัด
เด็ก ๆมาช่วย บ่นจัด มากจัดน้อย จนเด็ก ๆ หายหน้าไปหมด เสร็จงานเหลือของมากมาย ความจริง
ทำบุญบ้าน ขนมจีน ข้าวต้มมัด เป็นของทำ เพื่อแจกขอบคุณคนที่มาร่วมงาน สมัยก่อนยุ่งยากหน่อย
ยังไม่มีถุงพลาสติค ตอนนี้มีถุงให้ใช้ จัดใส่ถุงล่วงหน้าไว้เลย แขกมาก็หยิบยื่นให้ มันจะมีมากแค่ไหน
ก็แจกได้หมด นี่คือบุญที่ขอแบ่งจากคนที่มาร่วมงาน ฉลาดทำบุญซะมั่ง มัว แต่งี่เง่าอยู่ จะได้บุญจาก
ไหน
.........นินทาชาวบ้านทำบุญบ้านอย่างเดียวก็ยืดยาวมากแล้ว สาเหตุที่เอามาเล่า เพราะมีคนชอบที่
ถามผมแล้วได้คำตอบ แบบนี้ เขาว่าไม่ค่อยมีใครเล่าให้ฟัง อยากให้เขียนเล่าไว้ให้ลูกหลานได้อ่าน
ได้รู้กันบ้าง น่าจะมีประโยชน์ ช่วงนี้ไม่ค่อยมี เรื่องเขียนโพสด้วย เอาก็เอา

วันศุกร์ที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2559

ไหว้พระภูพุทโธ



ไปไหว้พระภูพุทโธ 

--------------
...........29 กันยายน 2559 เดินทางไปเมืองเลย เพื่อร่วมงานเกษียณครูที่เคยร่วมงานกันมา ช่วงปี
2516-2529 ปีนี้เกษียณ 3 คน ก็เลยแวะมาให้กำลังใจ ครูนกลูกสาวไปรับที่สนามบินพาไปกินข้าว

แถว กุดโง้ง แล้วกลับไปประชุมที่โรงเรียนศรีสงครามวิทยา  ตามไปด้วยและขอยืมรถไปดูวังสะพุง
เลิกเรียนกลับไปรับครูนก มาถึงบ้านราวห้าโมง ลูกชวนไปตลาดแลง หาซื้อของไปกินที่บ้านเมือง
แปดริ้ว เรานึกถึงตลาด บ้านนาอ้อเพราะของขายมากดีราคาไม่แพงจึงให้พาไปตลาดสดบ้านนาอ้อ
..........จากบ้านติ้ว ขึ้นถนนใหญ่มุ่งไปทางโรงพยาบาล ศาลากลาง กม.ศูนย์ ตรงสามแยก เลี้ยวขวา 

ไปทางท่าลี่เชียงคาน ผ่านสามแยกทองคำคือตรงหน้าวัดหนองแวงหรือวัดศรีวิชัยวนารามนั่นแหละ
เขาเรียกสามเหลี่ยมทองคำเลยไปนิดหนึ่งตลาดสดบ้านหนองผักก้าม แม่ค้ายังบางตาอยู่รถเริ่มมาก
ต้องระมัดระวังโดยเฉพาะรถทะเบียนลาวบ้านเขาเดินรถกลับข้างกับบ้านเรา เราไปซ้ายแซงขวา แต่
บ้านเขาไปขวาแซงซ้าย ผ่านหน้าโรงเรียนมหาไถ่ศึกษาเลย ลูกสามคนจบ ป.6 ที่นี่มารับส่งประจำ
เลยไปอีกก็คือบ้านกำเนิดเพชร ที่คนกำลังยุ่งกับงานรับเสด็จ ตอนเที่ยงเรามารอบหนึ่งแล้ว ทาน

ข้าวเที่ยง ที่กุดโง้ง ตอนนี้รีบไปผ่านหน้าราชภัฎ เพื่อนที่ทำงานสอนอยู่นี่สองสามคนเกษียณไป
หมดแล้ว เหลือคน รู้จักก็แฟนครูนก เราผ่านไปอีกยังไม่ถึงปลายทาง
.........ผ่านสำนักงานเขตพื้นที่ประถมศึกษาเลย เขต 1 ที่มาติดต่องานตอนเที่ยงแก่ ๆนั่นแหละตรงนี้
เป็นสำนักงานใหม่ เดิมอยู่ในเขตเทศบาลเมืองเลย ตอนเกษียณก็ยังอยู่สำนักงานเก่า พอเราออกเขา

ได้ สำนักงานใหม่ ลูกน้องบางคนมันยั่วว่า เพราะเจ้านายเกษียณ ถึงได้สำนักงานใหม่ นึงว่าเราจะจน
แต้ม มีคำตอบนะแต่คำตอบมันเจ็บแสบมากเลยไม่ตอบ ปล่อยไป ผ่านขนส่งจังหวัดเลย มาสอบขอ
ใบขับขี่กัน ที่นี่ ครูนก คุณเหน่ง ส่วนคุณหมู ไปเรียนขับรถที่แปดริ้ว ไปเรียนสอบใบขับขี่ที่กรุงเทพฯ 
ได้ใบ ขับขี่ค่อยยอมให้ออกรถใหม่ ตอนนี้ขับไปทำงานได้เองแล้ว
..........ผ่านตลาดสดบ้านนาอ้อ แม่ค้ากำลังมากัน ครูนกบอกจะพาไปไหว้พระใหญ่ ก่อนค่อยกลับมา

นึกขำ ๆ นะสงสัยพระนักเลง ต้องไปซูฮกก่อนแบบนั้นรึเปล่า ครูนกชี้ให้ดูบนภูเขาข้างค่ายทหาร บอก
นั่นไงพ่อ ใหญ่ไหม เห็นไกล ๆ คงใหญ่มาก ตกลงไปไหว้พระก่อนก็ได้ ผ่านหน้าโรงพยาบาลตำบล
ที่เดิมเราเรียกสถานีอนามัยนั่นแหละ มาใช้บริการบ่อย เขาเปิดฝึกอบรมหมอนวดแผนไทย รุ่นครูก็
อายุ สูงหน่อย รุ่นศิษย์หน้าตาดีสวย ๆ มาฝึกเอาความรู้จะไปทำงานที่โรงแรม มาใช้บริการนวดแผน
ไทย เจอศิษย์หมอนวด เก่ง ๆทั้งนั้น มันนวดเก่งพูดเก่งจนเราหลับเลยแหละ
.......ผ่านหมู่บ้านไปถึงโรงเรียนนาอ้อวิทยา คุ้นเคยมากมานิเทศบ่อยเพราะใกล้แค่นี้เอง ด้านขวาเป็น

โรงพยาบาลค่ายศรีสองรัก ชื่อนี้ไม่มี ษ์ ถึงจะเป็นชื่อถูกต้อง มาจากชื่อพระธาตุศรีสองรัก พระธาตุก็
คือ เจดีย์ที่สร้างเป็นอนุสรณ์ ศรี ก็ ศิริมงคล สง่า งาม สองคือสองฝ่าย ได้แก่ฝ่ายกรุงศรีอยุธยาสมัย
พระเจ้าจักรพรรดิและฝ่ายกรุงศรีสัตนาคนหุต สมัยพระเจ้าชัยเชษฐาธิราช รัก คือความรักใคร่กลม
เกลียวกัน ส่วนเขียน รักษ์ คือการพิทักษ์รักษา คนละความหมาย ใช้ให้ถุกละกัน เราเลี้ยวขวาไปทาง
โรงพยาบาลค่าย มีถนน เลียบผ่านขึ้นเขาไปเลย ไม่ถึง 10 นาทีก็ถึงที่จอดรถ ไม่ทันได้ดูทิวทัศน์เลย 
.........เห็นเขาเขียนป้าย ภูพุทโธ น่าจะให้เป็นชื่อภูเขา เดิมเขาลูกนี้ชื่อภูน้อย เห็นชาวบ้านเรียกกัน
ความจริงไม่น้อยหรอก ใหญ่โตมาก ๆ ต้นไม้ก็มืดมุงเต็มไปหมด เป็นที่หาของป่าอย่างดีของชาวบ้าน
รถปีนเขาแป้บเดียวก็จอดให้ลงได้เพราะถึงแล้ว มองไปเห็นด้านหลังองค์พระ ยายไปยืนวางท่าเป็น

แม่นางแบบ เรียกไปเก็บภาพให้หน่อย เสร็จแล้วเดินลับไปด้านหน้า เราตามไม่ทันเลย เด็ก ๆวิ่งหาย
ไป มุดตอไม้ขนาดใหญ่ มีสองตอ ครูนกบอกมันคือห้องน้ำ อ้อมิน่าเด็กชอบ ยายไปยืนกลางถนนด้าน
หลังให้ถ่ายภาพแล้วเดินอ้อมไปด้านหน้า พอตามไปเห็นยืนทำปากมุบมิบ ๆ พนมมือแต้ อ๋อกำลัง
ไหว้พระ รู้นะว่ากำลังขออะไร ใกล้วันหวยออกแล้ว ขอหวยแหงเลย เคยดูเฟสยาย หวยเต็มไปหมด
ไม่รู้ได้มา จากอาจารย์ไหนบ้าง เคยแซวแกนะว่า ซื้ออะไรก็ได้อันนั้นแหละ ซื้อเสื้อผ้าก็ได้เสื้อผ้า
ซื้อหวยก็ต้อง ได้หวย ถึงอยากได้รางวัลมันก็ไม่ค่อยจะได้หรอก ใบหวยเต็มบ้านแล้ว แกหัวเราะ
อบใจแต่ยังไม่เลิก 
........ไปไหว้พระ สังเกตดูช่างฝีมือเยี่ยมจริง ๆ พุทธลักษณะงดงาม ทำให้นึกถึงพระพุทธเจ้า ถึง
ท่านจะเป็นชาวอินเดียสมัยโบราณ แต่ท่านเป็นอัจฉริยะบุคคลที่หาได้ยากยิ่งในโลกใบนี้ ตำรามหา
ปุริสลักษณะของศาสนาพราหมณ์เขียนไว้นานก่อนท่านเกิด พวกพราหมณ์เองก็นึกว่าเขียนไว้ให้ดู
น่าอัศจรรย์ แต่พอเห็นสิทธัตถกุมารก็อัศจรรย์จริง ๆ เพราะมีคุณลักษณะตรงตามตำราทุกประการ
ทำให้เป็นคนน่ารักน่าศรัทธามาแต่เยาว์วัย เมืองกบิลพัสดุ์ร่ำรวยมาก โดยเฉพาะความอุดสมบูรณ์

ด้าน ธัญญาหาร จนตั้งชื่อเจ้าชายต่าง ๆเกี่ยวข้องกับข้าวปลาอาหารทั้งนั้น สุทโธทนะ สุกโกทนะ
 ฯลฯ ราชสมบัติมั่งคั่ง กองทัพเข้มแข็ง บริวารมากมาย  รวมแล้วมีค่ามหาศาลวางอยู่แทบเท้า กลับ
ออกบวชไม่สนใจ จิตใจเด็ดเดี่ยวอะไรปานนั้น 6 ปีที่มุ่งมั่นจนบรรลุโมกขธรรม ด้วยความเมตตายัง
ช่วยสั่งสอนสาวกนาน ถึง 45 ปี และสอนกันจนนาทีสุดท้าย ที่จดจำกันได้ดีว่า ท่านย้ำอย่าประมาท
เป็นสุดยอดคำสอน ยกมือไหว้พระพุทธรูปแต่ใจนึกถึงพระศาสดา สาธู ท่านผู้มีมหากรุณาต่อชาว
โลก 
.........จบไหว้พระเดินไปชมวิว ถ่ายภาพเป็นที่ระลึก ก็ดูดีนะสวย ๆทั้งนั้น น่าสังเกตคือตอนนี้ยังไม่มี
การบูชาแบบนอกรีตนอกศาสนามาปะปน ก็ไหว้ด้วยความสบายใจ อย่าลืมนะที่นี่คือพุทธสถาน อย่า

ได้นำ การเคารพบูชาเทพ ภูติผีมาปะปนไว้เลย ขอซักแห่งเถอะ เพราะตอนนี้ลัทธิแปลก ๆมันรุกเข้า
ไปถึงใน พระอุโบสถได้แทบทุกวัดแล้ว สาธุ ขอให้ที่นี่อย่าเป็นเหมือนที่อื่นเลย
..........ลงมาจากไหวะพระห้าโมงเศษ ตลาดขวักไขว่ด้วยแม่ค้าและคนซื้อ ของสดจากป่า จากสวน
เยอะมาก ราคาไม่แพง ยายเดินลิ่ว ๆ ได้รอบหนึ่ง หิ้วของมาเต็มสองมือ ต้องขอไปเก็บที่รถให้ เรา

ชอบดู มากกว่าซื้อ หน่อไม่บงต้มสุกถุงละสิบบาท มีส้มปลาน้อยถุงละสิบบาทวางคู่กัน คนเลยกิน
หน่อไม้ต้ม ต้องกินกับส้มปลาน้อย หรือส้มปลาจ่อม มีสองแบบ สุก กับ กำลังจะสุก หน่อไม้หวาน 
ต้องเมืองเลย มีหลายพันธ์ุหักมาเคี้ยวดูหวานจริง ๆ เลยต้องซื้อให้สองกิโลจะเอาไปผัด ต้มจืด  มี
หน่อไม้รวก แบบที่ เขาอัดปี๊บมาขายนั่นแหละ แต่นี่หน่อไม้ดิบ ๆสด ๆ ถามเขาว่าเอาไปทำอะไร 
เขาว่าแกงดิบ ๆ ก็ได้ เอา ไปเผาสุกแล้วค่อยเอาไปแกงก็ดี หน่อยไม้ซางแบบ"หน่อนางดิน" ที่มัน
โผล่ดินแต่ปลายแหลม ๆ ไปหา ต้องขุดดินลงไปสับเอาหน่อนางดิน สีขาวนวล ต้มจืดแล้วจะหวาน
มาก ๆ คนแก่ชอบ ตำน้ำพริกอ่อน น้ำปลาร้านัว ๆ บีบมะนาวราด กินได้กินดี อร่อยมาก ซื้อมาสอง
ถุง 40 บาท ต้มจืดแล้ว 
..........ไปดูแผงลอยขายผัก พริกผักฟักแฟงแตงกวาแตงร้านเต็มไปหมดราคาไม่แพง ยายหอบมา
อีกแล้ว ฟักทองอ่อน น้ำเต้าอ่อน บวบหอม บวบเหลี่ยม บวบงู ไม่กล้าถามซื้อไปทำไม คงเพราะมัน
สด ราคาถูกกว่าตลาดบ่อบัวแปดริ้ว เราตามหาผักพื้นบ้านอื่น ๆ เจอยอดจิกผักกระโดนป่า ผักกระ
โดนน้ำ ผักเม็ก ผักคะย่า ยอดส้มป่อย ซื้อหมดอย่างละกำ กำละ 5 บาท กำใหญ่ ๆนะนี่ ไปเจอมะระ
ป่าของแท้ ทั้งยอดอ่อนและลูกดิบ เหมาะเอามาหมด ของโปรดนี่นา หายากมาก จวนค่ำกำลังจะ
กลับ เจอคนมุงสาวสวยคนหนึ่ง แวะไปดูกำลังขายปลากดสด ๆจากแพที่เลี้ยงเอง ไข่ทุกตัวกิโล
ละ 150 
บาท อุดหนุนไป 1 กิโลกรัม กลับกันก็เกือบมืด 
..........เขามีกับข้าวสำเร็จมา แต่เราบอกให้ต้มปลากดให้หน่อย ไม่ต้อง"คัว"นะ เพราะปลาไข่เต็ม
ท้อง ต้มน้ำเดือด ๆ ใส่ข่าตะไคร้ใบส้มป่อย น้ำเดือดก็ใส่ปลาลงไป จนปลาเปื่อยค่อยเติมปลาร้า พริก
ดิบบุบพอแตก สุดท้ายก็ใบแมงลัก ชิมแล้วปรุงรส อาหารค่ำเขาวางอาหารสำเร็จกันหันมาลุยต้มส้ม
ปลากดใส่ยอดส้มป่อย ครูนกบอกไม่นึกว่ามันจะอร่อยมากขนาดนี้ 
..........วันแรกก็อร่อยมากแล้ว วันรุ่งขึ้นไปกินลี้ยงคงอร่อยแบบงานเลี้ยง มีเวลาแวบไปภูป่าเปาะที่ 
โพสไปแล้วนั่นแหละ ตอนเย็นงานเลียงครูเกษียณ สำหรับวันนี้ได้ไปไหว้พระใหญ่ ได้แวะตลาด
สดบ้าน นาอ้อ ได้ปลากดสด ๆ มาทำต้มยำใส่ใบส้มป่อย อร่อยจริง ๆ นอนหลับสบาย ๆ 




คนนี้แหละเขียน
8 ตค. 2559