วันพฤหัสบดีที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2559

ข้อข้องใจการทำบุญบ้าน



ไขข้อข้องใจงานทำบุญ 



----------------
………ทำบุญบ้านเราเองก็ดี ช่วยงานบ้านคนอื่นก็ดี มีปัญหาข้อสงสัยมากมายที่น่าหาคำตอบสำหรับ
ผมคนขี้สงสัย เจออะไรแปลก ๆ ก็เก็บมาคิด ทำไมต้องทำอย่างนั้น ทำอย่างอื่นได้ไหม ทำแล้วมันถูก
ต้องเหมาะสมไหม ทำนองนี้ คนอื่นอาจเฉยๆ แต่เราชอบหยิบเรื่องไม่เป็นเรื่องมาคิดน่ะครับ มีอะไรให้
คิดบ้างล่ะ
.......ทำไมต้องทำบุญบ้าน ปรารภเหตุมากมาย ได้ลูกคนใหม่ ทำนาได้ข้าวมาก ๆ ดีใจได้โชคลาภ 
หายเคราะห์เข็ญ ล่วงปัญหาที่ทำให้ทุกข์โศก รำลึกถึงบิดามารดาหรือญาติที่ล่วงลับ มีงานมงคล
เช่น 
บวชนาค โกนจุก แต่งงาน ฯลฯ ก็ทำบุญ 
.......อยากทำบุญบ้านบ้าง เตรียมพร้อมอย่างไร ทำบุญแบบชาวพุทธ นิยมนิมนต์พระเจริญพุทธมนต์
ที่บ้าน ถวายภัตตา หารที่บ้าน เลี้ยงแขกที่มาร่วมทำบุญ จึงต้องมีค่าใช้จ่าย เป็นค่าภัตตาหารพระ ค่า
จตุปัจจัยถวายพระ อีกส่วนคือค่าใช้จ่าย ในการรับรองแขกที่มาร่วมงานเชิญน้อยค่าใช้จ่ายน้อยเชิญ
มาก
ค่าใช้จ่ายมาก ประมาณการค่าใช้จ่ายสองส่วนนี้แล้ว บวกอีก สัก 5 เปอร์เซ็นต์ นั่นแหละที่ต้อง
เตรียม
สตังค์ไว้ก่อนคิดทำบุญบ้าน บุญอื่น ๆใช้หลักเดียวกันนี้ก็ได้ 
.......บ้านคับแคบหรือไม่ก็เป็นห้องเช่าห้องเดียวแต่ก็อยากทำบุญบ้านก็คงทำไม่ได้ แต่ทำบุญเฉย ๆ 
ได้ คำนวณบุญที่จะ ได้จากการทำบุญบ้านมีไม่กี่อย่าง หรอก แล้วนำมาปรับใช้ในการทำบุญของเรา 
ทำบุญบ้านเขาได้บุญจากไหน ทานมัยทำบุญบ้านของทำอะไร ถวายภัตตาหาร ถวายไทยทาน เลี้ยง
อาหารแขก ปฏิบัติศีล ฟังเทศน์ เราทำให้ไกล้เคียงกับการ ทำบุญบ้านได้นี่เตรียมอาหารคาวหวานใส่
ปิ่นโต 7-9 เถาไปถวายสังฆทานพระที่วัดถวายทั้งปิ่นโตไปเลย ถ้ามีจตุปัจจัยอย่างอื่นถวายไปด้วย นี่
บุญได้เท่ากับที่เขาถวายทานที่บ้าน รายจ่ายเท่ากันหรือมากกว่าก็ทำได้ เลี้ยงแขกงานทำบุญบ้าน
30-100 คน คงไม่เกินนี้ เราอยู่ห้องเช่าเชิญแขกมาร่วมคงทำได้ยาก เราก็ไปเลี้ยงแขกข้างนอกซิ
ไปโรงเรียนเด็กที่โรงเรียนจัดบริการอาหารกลางวันให้ทุกคน แถวชนบทเขาจัดเวรแม่บ้านออกไปทำ

อาหารที่โรงเรียน เด็กสอง-สามร้อย คน จองซักสองโรงเรียนยังไหว ได้เลี้ยงอาหารเที่ยงเด็ก แถมครู
นักการด้วย ทำไหวเหรอ ก็ถามเขาซิงบประมาณวันละเท่าไร มอบให้เขาไปเลย จอง 5 วันยังได้เลย
อันนี้น่าจะได้บุญมากกว่าเลี้ยงแขกทำบุญบ้านนะ ส่วนปฏิบัติศีลเราก็ทำได้อยู่แล้ว ข้อจำกัดเรื่อง
สถานที่ น่าจะผ่านไปได้
.......ทำบุญบ้านพิธีกรให้บูชาศาลพระภูมิ วงด้ายสายสิญจน์รอบบ้าน อันนี้สงสัยว่าทำไปเพื่ออะไร
ศาลพระภูมิ คือสถานที่ เราจุดธูปเทียน วางดอกไม้ บูชาพระภูมิ พระภูมิอยู่ที่ศาลรึเปล่า ไม่อยู่หรอก
|ทำไม เขาทำพิธีตั้งศาลถูกต้องตามตำราเชียวนะ คิดง่าย ๆ คุณมีบ้านอยู่ราคาหลายแสนจนถึงหลาย
ล้าน วันหนึ่งก็มีลูกหลานมาตั้ง ศาลเพียงตา ข้างบ้านแล้วเชิญคุณลงจากบ้านไปอาศัยที่ศาลเพียงตา
คุณจะไปไหม ตอบเองก็ได้นี่ พระภูมิ ส่วนมากจะเป็นเทพหรือเทวดาประเภท ภุมมเทวดารุกขเทวดา
พวกนี้มีวิมานอยู่กับที่เป็นหลักแหล่ง ส่วนอากาสัฏฐกเทวดา วิมานลอยอยู่บนอากาศ เลื่อยลอยไปได้
ทั่วไป จะเป็นเทวดาภุมมเทวดาหรือรุกขเทวดา จะอุบัติมาพร้อมวิมานแก้ววิมานเงินวิมานทอง ตาม
พลังบุญกุศลที่มี ประมาณค่า หลายร้อยล้าน บริเวณบ้านเรา อาจมีวิมานภุมมเทวดา 1 วิมานหรือมาก
กว่า เมื่อเราสร้างบ้านเขาเห็นและรู้ว่ามีคนมาสร้าง บ้านอยู่อาศัย เมื่อมีคนตั้งศาลเขาก็รับทราบว่า คน
บ้านนี้นับถือพระภูมิ ที่เชิญไปสถิตศาลราคาไม่กี่พันไม่กี่หมื่น น่าขำมากกว่า เมื่อไปจุดธูปบูชา เขาก็
ทราบแบบคนบ้านใกล้เรือนเคียง ก็คงยินดีอนุโมทนาสาธุ ให้ศีลให้พรตามสภาพ แต่ตอนถวาย ของ
เครื่องสังเวย นี่น่าคิดนะ เพราะเทพ เขากินอาหารหยาบไม่ได้อยู่แล้ว เหมื่อนเราเอาเนื้อดิบปลาดิบ
ไปถวายพระนั่นแหละ พระฉันไม่ได้ ก็คงให้พรเอา ภุมมเทวดาเห็นก็คงขำ ๆ ด่าเอา หาว่าเราแกล้ง
ให้เขากลืนน้ำลายแต่กินไม่ได้ 
........ด้ายสายสิญจน์ ยกมาย่อหน้านี้แล้วกัน เดิมทีพรามหณ์ใช้เป็นด้ายที่มีมนต์ขลังแทรกในพิธีการ
สวดมนต์เมื่อไรยังไม่เคยไปสืบค้นดู ลือกันว่าขลังมากแบบหมอผีเขาใช้เวลาไปปลุกเสกของขลัง
ในป่าช้านั่นแหละ ผีไปแตะด้ายร้อนยัง กะไฟลวก ถ้าขลังขนาดนั้น ก็น่าเป็นห่วงนะทำบุญบ้านเห็น
วงรอบบ้านแบบหมอผีเขาทำนั่นแหละ ผีเข้าบริเวณบ้านไม่ได้ เทพต่าง ๆ ไม่กลัวสายสิญจน์หรอก
แต่น่าสงสารผีพวกหนึ่งตั้งใจจะมาร่วมทำบุญ และเป็นจุดประสงค์เจ้าบ้านด้วย อยากเชิญผีพวกนี้มา
บ้านเพื่อรับสว่นบุญ ผีญาติพี่น้องนั่นไง มาเจอด้ายสายสิญจน์ผ่านไม่ได้ คงยืนสรรเสริญเจ้าภาพอยู่
นอกเขตบ้าน สรรเสริญว่าอย่างไรคงเดาออกนะ ผีปู่ย่าตายายเราปากจัด ๆทั้งนั้น ความเห็นกระผม
ไม่จำเป็นนักหรอก เราไม่ได้เชิญหมอผี มาทำพิธีอะไรนี่นา วงด้ายกันผีไปทำไม ถึงมีผีผ่านมาก็แค่
มาขออนุโมทนารับส่วนบุญ ไม่ได้มาทำร้ายใคร
........จัดที่นั่งพระทำบุญบ้าน ที่นั่งพระปูลาดที่พื้นโต๊ะหมู่บูชาแล้วก็ผ้านิสีทนะ 7 รูปมีคนแก่มาร่วม
งาน10 กว่าคน เลย จัดวางโชฟานั่งพิงฝาห้อง ให้นั่งไหว้พระ ท่านนั่งนานไม่ไหวถามว่าเหมาะไหม
ไม่ต้องตอบก็ได้ ถายรูปออกมาดูกันได้ จะได้เห็นชัด ๆว่าพระกำลังไหว้คนแก่บนเก้าอี้โชฟา น่ารักดี
เนาะ เราจะยอมให้เฉพาะคนพิการที่ต้องนั่งรถเข็น นั่นเขามีความจำเป็นถ้าจะให้ดูดีก็ยกที่นั่งพระให้
สูงซะ อย่าให้ต่ำกว่าที่ชาวบ้านนั่งก็ใช้ได้
.......การประเคนของพระ ปกติให้ผู้ชาย ยกของสูงกว่าพื้นสักคืบแล้วยืนถวายให้ท่านรับ ถ้าของหนัก
ใช้ผ้าหรือเชือกม้วน ใส่พานยื่นถวายแทนกรณีผู้หญิงก็ประเคนได้ แต่ตอนวางรอให้ท่านพาดผ้าหรือ
วัสดุอย่างอื่นทอดวางกับพื้นแล้วเราค่อยวางสิ่งของบนผ้าและวัสดุนั้น ๆอย่าส่งของต่อมือพระ เพราะ
ทำให้พระต้องอาบัติ เราได้บาปแถมด้วย สิ่งของที่ประเคนแล้วอย่าไปช่วยจัดให้พระเพราะทำให้พระ
ไม่สามารถแตะต้องของนั้นได้ ถ้าขืนแตะก็ต้องอาบัติไง เช่น ถวายแกงแล้ว พระ วางไม่เรียบร้อย ไป
ช่วยจัดให้ แบบนี้พระจะไม่ฉันแกงถ้วยนั้นเลย ต้องยกถวายใหม่ถึงจะฉันได้
.......ระหว่างพระสวด ควรสำรวมกิริยามรรยาทนั่งฟังด้วยความเคารพ การส่งเสียงเอะอะ ทำกิจกรรม
ระหว่างพระสวด เป็นมรรยาทไม่ดี อย่าทำ กิจกรรมใด ๆ รอพระสวดเสร็จแล้วค่อยทำ เคยเห็นขณะ
พระกำลังสวด วัยรุ่นประกวดร้องเพลงอยู่ ข้างบ้าน มันเกินพอดี เดี๋ยวนี้เจอบ่อย บางงานพวกขี้เมาส่ง
เสียงดังกว่าพระสวดอีก งดสักชั่วโมงจะเป็นไรเชียว
.......พระฉันกับเลี้ยงแขก จัดอย่างไร ทำบุญบ้าน มีเลี้ยงพระกับเลี้ยงแขก แขกมาร่วมงานเขามีของ
ฝากติดมือมาร่วมทำบุญ บางคนก็กลับ บางคนก็อยู่ร่วมงานจนเสร็จงานแขกที่ไม่อยู่ร่วมงานเจ้าภาพ
มักจะเชิญไปรับประทานอาหารก่อนค่อยกลับ แถมจัดอาหารใส่ถุงฝากทางบ้านมอบให้ไปด้วย คนที่
เห็นไม่เข้าใจนึกตำหนิว่า รีบอะไรนักหนา พระยังไม่สวดเลยโยม ฉันก่อนแล้ว มันคนละส่วนกัน ขณะ
พระฉันเจ้าภาพควรนั่งดูแลอยู่ใกล้ ๆแบบพนักงานบริการนั่นแหละ เคยพบบางงานหนี กันหมด เรานั่ง
รับหน้าอยู่แทน หลวงพ่อฉันเสร็จก็ถามว่า เป็นไงโยมทำบุญบ้านเหนื่อยไหมก็ตอบท่านว่าขอรับท่าน
เหนื่อยแทน เจ้าภาพ ไม่รู้ไปรับแขกอยู่ไหน กระผมรับใช้แทนได้ขอรับ หลวงพ่อหัวเราะชอบใจ
......ถวายเงิน ถวายใบปวารณาบางครั้งเจอมัคทายกคุ้มวัดธรรมยุติตอนถวายปัจจัยดูแกกวดขันมาก
ต้องอย่างนั้นอย่างนี้ ใบปวารณาใส่ซองเรียบร้อยส่วนเงินมอบมัคทายกไป ส่วนคุ้มวัดมหานิกายเงิน
ใส่ซองถวายท่านก็รับ เลยมีข้อสงสัยว่าทำไม ไม่เหมือนกัน มีพระวินัยข้อหนึ่งระบุว่าพระรับเงินทอง
ต้องอาบัตินิสสัคคียปาจิตตีย์ ในโกสิยวรรค สิกขาบทที่ 8 ความว่า " อนึ่ง ภิกษุใดรับก็ดี ให้รับก็ดีซึ่ง
ทอง เงิน หรือ ยินดีทอง เงิน อันเขาเก็บไว้ให้ เป็นนิสสัคคิยปาจิตตีย์." ธรรมยุติถือเรื่องห้ามพระรับ
เงินทองจากชาวบ้าน แต่มีไวยาวัจจกรรับแทน ไปถึงวัดก็ต้องแยกให้ว่าของรูปไหนเท่าไร ตาม ที่
ระบุในใบปวารณา ตามหลักการเงินจะถูกส่งเข้าบัญชีแยกตัวเลขของแต่ละรูป เมื่อต้องการใช้เงินก็
แจ้งไวยาวัจจกร เหมือน เจ้าหน้าที่ธนาคาร ดูเข้าท่าดีไม่ต้องแตะต้องตัวเงินทอง ถามว่าพ้นอาบัติ
นิสสัคคียปาจิตตีย์ตามข้อ 8 ที่ยกมาให้อ่านไหม รับเองก็ผิด ให้คนอื่นรับแทนก็ผิด ยินดีพอใจเงิน
ที่เขาเก็บไว้ให้ก็ผิด ลองให้ไวยาวัจจกรทำตัวเลขผิดดูซิ โลกแตกแน่ ดังนั้นหลักการไม่รับเงินทอง
ของธรรมยุติจึงขลัง ใช้ได้ผลดีในระยะแรก ๆ แต่ปัจจุบันนี้ไม่ค่อยขลังแล้ว เพราะไม่พ้นผิดคือต้อง
อาบัตินิสสัคคีย์ปาจิตตีย์เท่ากัน
.........การรับของเหลือจากพระมาบริโภค อันนี้ชาวบ้านไม่เข้าใจหรอกพิธีกรควรกำกับให้ด้วย เพราะ
อาหารคาวหวานที่ถวาย ทานไปแล้วทุกอย่างเป็น ของสงฆ์พระบริโภคไม่หมดคืนให้พิธีกรควรกล่าว
คำขอ แค่คำง่าย ๆว่า ข้าพเจ้าขอรับอาหาร คาวหวานเหลือเศษจากสงฆ์ไปแจกจ่ายกันบริโภค เพื่อ
เป็นศิริมงคลด้วยเถิด แค่นี้ก็พอแล้ว จะได้ไม่ต้องเป็น พวกแอบบริโภคของสงฆ์ ความจริงพระท่าน
ไม่หวงหรอกขอท่านก็ให้ ไม่ขอท่านก็ให้ ขอแล้วรับเอาดีกว่า สบายใจดี
.........ประพรมน้ำมนต์ เจิม ต่าง ๆ อันนี้ไม่ใช่พิธีกรรมทางพุทธศาสนา มีแทรกเข้ามานานแล้ว เอา
อย่างพราหมณ์เขา โยมคะยั้นคะยอให้พระทำจนกลายเป็นกิจกรรมต้องมี พระสวดมนต์เลยต้องมี
หม้อน้ำมนต์ มีเทียนน้ำมนต์จุดถวายพระ ตอนสวดบทมงคลสูตร อเสวนา จ พาลานัง...ฯลฯ นั่น
แหละไปดับเทียนเอาตอนสวดถึงบท ขีนังปุรานัง ถือว่าสวดน้ำมนต์ ให้แล้ว หลังให้พรก็ทำพิธีรด
น้ำมนต์ให้ พระนอกนั้นก็สวดชยันโต ให้ จะพรมตรงไหน นำท่านไป ส่วนการเจิม ใช้ดินสอ พอง
หรือแป้งนวลก็ได้ ผสมกาวนิดหน่อย จะได้ติดง่าย เวลาพระเจิมจะได้ทำง่ายหน่อย เจิมหน้าบ่าว
สาวนี่อาบัติปาจิตตีย์ เชียวนะอย่าคิดว่าไม่เป็นไร ไม่ได้ยกเว้นให้เจิมประตูหน้าต่างตามสบาย ช่วย
ระวังพระหล่นตอนเจิมที่สูง ๆ แล้วกัน
.........ไปเจองานหนึ่งเขาห้ามสตรีมีครรภ์ฟังพระเจริญพุทธมนต์ สงสารนะสตรีคนนั้นแกเป็นเจ้าภาพ
ด้วยสิ เราเป็นแขก ไม่กล้าทักหรอกแค่ขำ ๆ ไปร่ำเรียนมาจากไหนกัน พระไม่รังกียจใครหรอก ขนาด
คนตายท่านยังโปรด ทำไมคนท้องจะ ฟังพระเทศน์ไม่ได้ คำที่สวดเป็นพระสูตรต่าง ๆในเจ็ดตำนาน
สิบสองตำนาน เป็นบทร้อยกรองกล่าวถึงหลักคำสอนของ พุทธศาสนาทั้งนั้น สตรีมีครรภ์ควรฟังมาก
กว่าคนอื่น ๆ เพราะเธอมีสองชีวิตที่ต้องการความเป็นศิริมงคลมากกว่าคนอื่น สมัยพุทธกาล พระเถระ
ที่หญิงมีครรภ์ต้องการฟังเทศนาจากท่านมากที่สุดคือ พระองคุลีมาล เล่าว่าฟังเทศน์ท่านแล้วเกิด มี
ความสวัสดีต่อคนฟังด้วยต่อลูกในครรภ์ด้วย จนเกิดมี อังคุลิมาลปริต ที่ลือกันว่าเป็นคาถาช่วยให้
คลอดง่ายนั่นแหละ ใครเป็นคนห้ามสตรีมีครรภ์ฟังพระเจริญพุทธมนต์ จำไว้เลยว่าคุณกำลังทำบาป
 ทำให้คนสองคนแม่ลูก ไม่ได้ฟังสิ่งที่เป็น ศิริมงคลแก่ชีวิตของพวกเขา
.......ไปเจอการทอดบังสุกุลเป็นแก่หมู วัว เขาเอาเขาวัวคู่หนึ่ง ใบหูหมูเฉี่ยวเอาตรงปลายและจมูก
ใส่ถาดมาให้พระชัก บังสุกุล เสร็จงานก็ถามพิธีกรว่านั่นทำอะไร เขาบอกว่าเจ้าภาพให้ล้มวัว 1 ตัว
หมู 1 ตัว เอามาทำอาหารเลี้ยงแขกในงาน ก็อยากทำบุญอุทิศให้พวกเขาไปด้วย พระก็ชักบังสุกุล
ให้ตามประสงค์ แปลกดี ทำบาปแล้วยังกลัวบาปอีก มันหนีไม่พ้นหรอก เหมือนลงน้ำแล้วกลัวเปียก
นั่นแหละ มันเปียกไปแล้ว บาปและบุญมันคนละส่วนกัน แก้กันไม่ได้หรอก วัวก็ตายไป จะมาบอกว่า
ขอโทษอย่ามีเวรกรรมแก่กันเลย วัวและหมูที่ไหนจะมายินดีให้อภัย หลอกตัวเองชัด ๆ เหมือนพวก
ฆ่าคนตายแล้วเอาดอกไม้มาขอขมาศพ น่าสมเพศไหมล่ะ ก่อนทำไม่คิด มาคิดตอนฆ่าลงไปแล้ว
ไร้สาระสิ้นดี
..........รับพรงานทำบุญบ้านหรือทำบุญอื่น ๆ การรับพรเป็นสาระสำคัญของการทำบุญ ไปบางงานเจ้า
ภาพเมาแอ๋ มารับพรไม่ได้ โง่เง่าจริง ๆ ลงทุนทำบุญหมดไปหลายพันหลายหมื่น ได้บุญมากมาย จะ
ใช้บุญซะหน่อย เมาซะนี่ เลยไม่ได้ใช้บุญ ให้เกิดประโยชน์ ถ้ามีญาติผู้ล่วงลับมารออนุโมทนาบุญอยู่
เจ้าภาพทำไม่ได้ก็โกรธซิ คงไม่สรรเสริญเจริญพรแน่ แช่งชัก น่ะแหละมากกว่า ก็บุญกองอยู่ตรงหน้า
มันอุทิศให้ พวกเราอนุโมทนา ก็ได้รับส่วนบุญแล้ว ฉันจะได้ไปเกิดแน่ถ้าได้บุญ เพิ่มมานิดหน่อย เสีย
ดาย อ้ายบ้ามันเมา...ฯลฯ ดังนั้นอยาละเลยการรับพรและอนุโมทนาส่วนบุญให้ญาติมิตร สำคัญมาก
..........ไปงานทำบุญบ้านงานหนึ่งเจอเจ้าภาพประเภทเหนียวหนึบ นั่งเฝ้าเข่งขนมจีน เข่งข้าวต้มมัด
เด็ก ๆมาช่วย บ่นจัด มากจัดน้อย จนเด็ก ๆ หายหน้าไปหมด เสร็จงานเหลือของมากมาย ความจริง
ทำบุญบ้าน ขนมจีน ข้าวต้มมัด เป็นของทำ เพื่อแจกขอบคุณคนที่มาร่วมงาน สมัยก่อนยุ่งยากหน่อย
ยังไม่มีถุงพลาสติค ตอนนี้มีถุงให้ใช้ จัดใส่ถุงล่วงหน้าไว้เลย แขกมาก็หยิบยื่นให้ มันจะมีมากแค่ไหน
ก็แจกได้หมด นี่คือบุญที่ขอแบ่งจากคนที่มาร่วมงาน ฉลาดทำบุญซะมั่ง มัว แต่งี่เง่าอยู่ จะได้บุญจาก
ไหน
.........นินทาชาวบ้านทำบุญบ้านอย่างเดียวก็ยืดยาวมากแล้ว สาเหตุที่เอามาเล่า เพราะมีคนชอบที่
ถามผมแล้วได้คำตอบ แบบนี้ เขาว่าไม่ค่อยมีใครเล่าให้ฟัง อยากให้เขียนเล่าไว้ให้ลูกหลานได้อ่าน
ได้รู้กันบ้าง น่าจะมีประโยชน์ ช่วงนี้ไม่ค่อยมี เรื่องเขียนโพสด้วย เอาก็เอา

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น