วันพุธที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

บ้านของเรา 




บ้านของเรา

......ผมอาศัยอยู่บ้านเลขที่ 28/68 ถนนศรีโสธรตัดใหม่ อำเภอเมือง จังหวัดฉะเชิงเทราเจ้าของบ้านชื่อ น.ส. นิภา ณรงค์หนู ต่อมาปลี่ยนเป็น น.ส.อรภา ณรงค์หนู แล้วก็เปลี่ยนเป็น น.ส.ธนัญธร ณรงค์หนู รายชื่อในทะเบียนบ้านอีกคนหนึ่งชื่อน.ส.ชนารัตน์ ณรงค์หนู ต่อมาก็เปลี่ยนเป็น น.ส.เตชินี ณรงค์หนู และก็เปลี่ยนเป็นบุลธนี ณรงค์หนู 3 ชื่อแรกคือแม่ สามชื่อหลังคือลูกสาว รวมเป็นสองคน ไม่ใช่หก คน เขาชอบและเชื่อเรื่องโชค ชตา มงคล เลยหาชื่อที่มันดูดีหน่อย ส่วนกระผมไม่ได้มีชื่อในทะเบียนบ้านหรอกลูกสาวเขาขอยืมไปใช้เป็นเจ้าของบ้านที่จังหวัดเลย บ้านเลขที่ 62 ถนนมลิวัลย์ ตำบลกุดป่องอำเภอเมือง จังหวัดเลย

...............หัวหน้าครอบครัวปัจจุบันชื่อ น.ส. ธนัญธร ณรงค์หนู เพิ่งเกษียณเมื่อปี 2549 ถึงปีนี้ก็ครบ 10 ปีพอดี ผมสู่ขอเขากับคุณยายบุญเติม ณรงค์หนู แล้วก็จัดเลี้ยงขอบคุณเล็ก ๆให้ญาติพี่น้องเพื่อนฝูง จัดแบบง่าย ๆ แต่ก็อยู่กันมาสิบกว่าปีแล้ว ไม่มีลูกด้วยกัน แต่ผมชอบเรียกเขาว่า คุณยาย เพราะมันบอกให้รู้ว่าเป็นผู้ใหญ่แล้ว ดีกว่าจะไปเรียกหนูนั่นหนูนี่ เดี๋ยวเกิดเขาคิดว่าเป็นหนูจริง ๆ ยุ่งตายห่าละซิ คุณยายแกจบพยาบาลศาสตร์ จากวิทยาลัยพยาบาลจันทบุรีเลยทำงานเป็นพยาบาลอยู่ที่โรงพยาบาลประจำจังหวัดฉะเชิงเทราจนเกษียณ คุณยายเป็นคนมีน้ำใจ เพื่อนฝูงพี่น้องรักใคร่ สังเกตตอนมาติดต่อโรงพยาบาลมีคนทักตลอดทาง เห็นแกทักทายไปเรื่อย กว่าจะถึงจุดหมายแวะหลายจุดยังกะรถเมล์

.............คุณยายมีบุตรบุญธรรม 1 คน ก็มี 3 ชื่อเหมือนกัน สุดท้ายก็ชื่อบุลธนี ณรงค์หนู เขาจบปริญญาตรี เอกวิทย์คอมจาก ม.รังสิต ทำงานสาขาที่เรียนมานั่นแหละ ที่ทำงานอยู่แถวสุวินทวงศ์ แม่ออกรถเก๋งน้อยให้คันหนึ่งขับไปทำงานสัปดาห์ละ 6 วัน หยุดให้วันอาทิตย์วันเดียว

..............นางชาน แม่บ้านชาวพม่า อยู่กันมาตั้งแต่เป็นสาว ตอนนี้มีลูกชาย 1 คน สามีเป็นคนทางบ้านเดียวกัน ทำงานรับจ้างกับบริษัทก่อสร้าง ชานเป็นคนที่ยายรักใคร่เหมือนลูกสาว ใช้งานไม่หนักอะไร มีเวลาพักผ่อนมาก ไปนอกบ้านก็พาไปด้วย มีลูกก็ช่วยเลี้ยงเหมือนหลาน เลยอยู่กันแบบคนในครอบครัว บ้านพักเขาอยู่ใกล้บ้านเรามอง เห็นประตูบ้านเขาอยู่ ผมเรียกเขาอาชาน นิสัยเหมือนเด็ก ๆ สังเกตเวลาจะไปบ้านปกติเดินออกประตูหน้าบ้านแล้วเดินอ้อมไปสัก 150 เมตร ก็ถึง แต่อาชานมันถกผ้าถุงปีนข้ามกำแพงบ้านไป ไม่ถึง 20 เมตร ก็บ้านมัน ใกล้ดีมันบอก เคยด่ามันว่าระวังเหอะเดี๋ยวปีนพลาด ร่วงลงมาเอ็งจะได้เพิ่มหลายรู มันหัวเราะแหะ ๆ ไม่นานก็ปีนอีก เด็กจริง ๆ

.............เด็กชายกำปั้น ตอนท้องแม่่มันก็มาทำงานตามปกติ แพ้ท้องก็นอนพักให้ยายดูแลพาไปฝากท้อง จนกระทั่งคลอดเป็นเด็กชาย สองแม่ลูกตั้งชื่อให้ เด็กชายกำปั้น เราก็เตือนนะว่าชื่ออย่างนี้ โตขึ้นจะเป็นปมด้อย แต่เขาก็เอาจนได้ เด็กสมาธิสั้น ดื้อเหมือนกัน ดุก็หยุดเดี๋ยวเดียวก็ดื้ออีก พอโตขึ้นยายไปฝากเข้าเรียนที่โรงเรียนวัดโสธร เรียนหนังสือเก่งอ่านคล่อง แต่คิดเลขยังไม่เก่ง ตอนนี้เขาอยู่ ป.1 ได้รางวัลเรียนเก่ง เป็นทุนการศึกษาด้วย

.............สัตว์เลี้ยงเราเป็นหมา 6 ตัว เคยเขียนถึงบ่อย เพราะน่ารักทุกตัว แต่ละตัวก็นิสัยแตกต่างกัน คราวหนึ่งติดเห็บหมัด กว่าจะรู้ระบาดครบหกตัว น่ากลัวมาก สัตวแพทย์แนะนำให้ฉีดยา อาบน้ำทำความสะอาด หลายเดือนกว่าจะหมดไป เดี๋ยวนี้ต้องฉีดยาเดือนละเข็มค่อยหมดห่วง กรงก็ติดสปริงเกอร์สำหรับล้างทำความสะอาด และอาบน้ำให้ด้วย

..............พวกตัวใหญ่มี เจ้าบึ๊ก เจ้าบั๊ก นังซูการ์และนังซู่ซ่า ขังไว้ในกรงใหญ่ที่เรียกคอนโดหมานั่นแหละ ตอนเย็นปล่อยออกมาวิ่งทั้งคืน ตอนเช้าค่อยต้อนเข้ากรง วันหนึ่งสังเกตดูหายไปหนึ่งตัว เจอแต่ซูการ์ ซู่ซ่าและเจ้าบึ๊ก ปรากฏว่าเจ้าบั๊ก วิ่งเข้ากรงไปก่อนแล้ว ไม่นาน ก็หายหมด พอตามหาพบเดินอยู่หน้ากรง เราตามไปก็เข้ากรงเองโดยดี เดี๋ยวนี้มันพัฒนากันพอเราเปิดประตูบ้านจะลงไปต้อนเข้ากรง มันไปยืนรอหน้ากรงแล้ว เลยบอกยาย ให้เปิดหน้าต่างดูหมาเดินแถวเข้ากรงนะ เราก็เดินไปเปิดประตูบ้าน หมาได้ยินเสียง เดินอ้อมบ้านไปยินเสียงยายหัวเราะชอบใจ ลงไปเดินตามหมามันด้วย วันหลังคนต้อนหมาเข้ากรงเลยเป็นยาย ต่อไปจะหาธงแดงให้มันคาบนำแถวไป

.............ตัวเล็กคือ คุกกี้กับทาโร่ เป็นหมาคุณหนู ยายรักมาก มักจะมีของกินแถมให้บ่อย ๆพวกลูกชิ้น ไก่ย่าง ใส้กรอก พอตัวใหญ่เข้ากรงก็จะปล่อยตัวเล็กออกมาวิ่งบ้าง มันวิ่งมาหน้าประตูแล้วเห่าทัก แรก ๆก็ให้ขนมปัง จนมันรู้ว่า เห่าทีไรได้กินทุกที ยายออกมายืนหน้าประตูเรียกชื่อมัน หมามันก็เห่าดีใจ คล้ายจะบอกว่า อู้อู อู้อู แบบเด็กดีใจ ยายก็อุ้มซ้ายขวา เลยบอกยายว่ามันร้องขอขนมกิน ยายเชื่อหาขนมใหญ่เลย วันหลังจึงมีลูกชิ้น ไก่ย่าง ติดไว้ในครัว มันขยันเห่ามาก เพราะเห่าทีไรได้ของกินทุกที จนเป็นดาราประจำบ้านไปแล้ว

...........ก็เขียนถึงคนอื่นไปแล้ว ตัวเองจะไม่เขียนถึงก็คงไม่เป็นธรรม ตาเป็นคนบ้านนอกโดยกำเนิด ชอบชีวิตแบบชาวไร่ชาวนาแต่เส้นทางชีวิตมันผกผันให้ได้ไปอยู่ประจำที่โรงเรียนกินนอนที่เกษตรกรรมชัยภูมิ 3 ปี จากเด็กเกเรไม่เอาถ่าน กลายเป็นเด็กมีระเบียบวินัยขยันทำงานหนักเอาเบาสู้ ได้ทำนาช่วยพ่อแม่ 7 ปียิ่งแกร่งงานเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น ได้บวช7 พรรษาฝึกอบรมระเบียบวินัย ศีลธรรมจนมึความรู้ระดับสอนชาวบ้านได้ การศึกษาก็เรียนจบ นักธรรมเอก เปรียญ 4 ประโยค ปริญญาตรีเอกภาษาไทย ปริญญาโทเอกวิธีสอนภาษาไทยการศึกษาทุกอย่างเรียนเอาความรู้นะ ไม่ได้เรียนแค่เอาจบ ฝึกเขียนร้อยกรองจนเขียนได้คล่องพอ ๆ กับเขียนร้อยแก้ว เอ้อ...พอละจบดีกว่า เดี๋ยวคนอ่านจะลำบากอ๊วกซะก่อน

------------------------

30/11/59

ชีวิประวัติอย่างย่อ




................ข้าพเจ้า นายขุนทอง ศรีประจง เกิดเมื่อ วันที่ 1 มิถุนายน 2487 บิดา นายจำปา ศรีประจง มารดา นางจ้อน ศรีประจง เกิด ที่บ้านแก หมู่ที่ 16 ตำบลกมลาไสย อำเภอกมลาไสย จังหวัดกาฬสินธุ์ (2487 - 2497) ต่อมาครอบครัวอพยพไปตั้งถิ่นฐานที่ บ้านหนองลุมพุก ตำบลหนองเรืออำเภอโนนสังจังหวัดอุดรธานี (2498 -2511) ( ปัจจุบันเป็นพื้นที่ในเขตจังหวัดหนองบัวลำภู) ปี 2511 ได้อุปสมบท (2511-2516)และจำพรรษาที่ วัดอัมพวัน บ้านหนองลุมพุก ปีถัดมาย้ายไปศึกษาปริยัติธรรม ที่วัดหรคุณ
อำเภอน้ำพองจังหวัดขอนแก่น และปี 2513 ย้ายไปจำพรรษาที่ วัดศรีบุญเรือง จังหวัดเลย ปี 2516 ลาสิกขาบทรับราชการเป็นครู ที่โรงเรียนศรีสงครามวิทยาจังหวัดเลย 1 พฤษภาคม 2516 และอยู่อาศัย ณ บ้านเลขที่ 65 ถนนมะลิวัลย์ ตำบลกุดป่อง อำเภอเมือง จังหวัดเลย 


ประวัติการศึกษา เล่าเรียน

2497 จบ ป. 4 โรงเรียนบ้านแกส่งเสริมวิทยา
2500 จบ ม. 3 โรงเรียนโนนสังวิทยา อำเภอโนนสัง จังหวัดอุดรธานี
2503 จบ ม. 6 โรงเรียนเกษตรกรรมชัยภูมิ อำเภอเมือง จังหวัดชัยภูมิ
2513 สอบได้ นธ.เอก และสอบได้บาลีประโยค 2 สำนักเรียนวัดหรคุณ จังหวัดขอนแก่น
2514 สอบได้เปรียญธรรมประโยค 3 สำนักเรียนคณะจังหวัดเลย
2515 สอบได้ประกาศนียบัตร พ.กศ. ณ สนามสอบจังหวัดเลย
         และสอบได้เปรียญธรรมประโยค 4 สำนักเรียนคณะจังหวัดเลย
2516 สอบได้ประกาศนียบัตร พ.ม. สนามสอบจังหวัดเลย
2519 จบปริญญาตรี กศ.บ. (เกียรตินิยม) จาก มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ .มหาสารคาม
2524 จบปริญญาโท ศศ.ม จากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ บางเขน กรุงเทพมหานคร 

ชีวิตครอบครัว 

สมรสกับ น.ส.กาญจนา สิริหล้า (ข้าราชการครู )ปี 2517 มีบุตรธิดา 3 คน 

1. นางศศิธร เดชไทย ค.บ. มหาวิทยาลัยราชภัฎเลย ครูโรงเรียนผาอินทร์แปลงวิทยา แต่งงานกับนายสุเมธ เดชไทย มีบุตรธิดา 2 คน
(ด.ญ.สิริกัญญา เดชไทย)
(ด.ช.ณัทธพล เดชไทย)
2. นายโฆษิต ศรีประจง วทบ. พืชสวน มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ (กำแพงแสน) ทำงานบริษัทเอกชน กรุงเทพ ฯ
3. น.ส.สาวิตรี ศรีประจง วทบ. เทคโนสารสนเทศ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ทำงานเป็นโปรแกรมเมอร์ บริษัทเอกชน กรุงเทพ ฯ
ภรรยาเสียชีวิตลงเมื่อปี 2542 

สมรสกับ น.ส. อรภา ณรงค์หนู พยาบาลวิชาชีพ ระดับ 7 โรงพยาบาลเมืองฉะเชิงเทรา ปี 2546 มีบุตรบุญธรรม 1 คน
น.ส.ชนารัตน์ ณรงค์หนู ศบ. (กราฟิคคอม) มหาวิทยาลัยรังสิต 

หน้าที่การงาน

2513 เลขานุการเจ้าคณะอำเภอเมืองเลย (ม)
2516 ครูตรี โรงเรียนศรีสงครามวิทยาอำเภอวังสะพุงจังหวัดเลย
2529 ผู้ช่วยผู้อำนวยการ โรงเรียนศรีสงครามวิทยา
2539 ผู้ช่วยผู้อำนวยการสามัญศึกษา จังหวัดเลย
2545 รองผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาจังหวัดเลยเขต 2
2547 ผู้ตรวจราชการประจำเขตพื้นที่การศึกษาจังหวัดเลย เขต 1

ประสบการณ์ด้านวิชาการ 

1. ศึกษาดูงานด้านการจัดการศึกษาที่ประเทศญี่ปุ่น ปี2522(โตเกียว ไซตาม่า เกียวโต 20 วัน)
2. ได้รับเลือกเป็นกวีประจำจังหวัดเลย เข้าร่วมประชุมสภากวีโลกครั้งที่ 10 ที่กรุงเทพมหานคร
3. ได้รับเลือกเป็นผู้แทนโรงเรียนพุทธศาสนาวันอาทิตย์จังหวัดเลย เข้าร่วมประชุมสภาสังคมสงเคราะห์        แห่งประเทศไทย
4. เป็นที่ปรึกษาด้านหลักสูตรการเรียนการสอน กลุ่มโรงเรียนมัธยมศึกษาจังหวัดเลย
5. เป็นวิทยากรบรรยายการใช้หลักสูตรมัธยมศึกษา
6. เป็นอาจารย์ที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์นิสิตบัณฑิตวิทยาลัย สถาบันอุดมศึกษา 3 สถาบัน
7. เป็นวิทยากรบรรยายการวิจัยในชั้นเรียน โรงเรียนสังกัดกรมสามัญศึกษาจังหวัดเลย
8. เป็นวิทยากรที่ปรึกษาการเขียนเวบไซท์ โรงเรียนสังกัดกรมสามัญศึกษาจังหวัดเลย 33 โรงเรียน
9. เป็นอาจารย์สอนบาลีประโยค 1-2 และ 3 สำนักเรียนวัดศรีบุญเรือง บ้านติ้ว จังหวัดเลย (2513-2515)
10. เป็นอาจารย์พิเศษมหาวิทยาลัยมหามกุฎราชวิทยาลัย วิทยาเขตจังหวัดเลย (สอนวิชาการประเมินผล       และสร้างแบบทดสอบ)
11. เป็นอาจารย์พิเศษมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตจังหวัดเลย (สอนวิชาหลัก           และวิธีสอนทั่วไป)

ผลงานด้านเอกสารงานเขียนต่าง ๆ

1. เล่าเรื่องรามเกียรติ์ (เอกสารประกอบการสอนวิชาวรรณกรรมมรดก)
2. เล่าเรื่องขุนช้างขุนแผน (เอกสารประกอบการสอนวิชาวรรณกรรมมรดก)
3. คู่มือนักเรียนธรรมศึกษาตรี(เอกสารประกอบการสอนธรรมศึกษาตรี)
4. แผนการสอนวิชาพระพุทธศาสนา(เอกสารประกอบการสอนวิชาพระพุทธศาสนา ม.4)
5. แผนการสอนวิชาภาษาไทย
6. แบบฝึกเสริมทักษะร้อยกรอง(สื่อประกอบงานวิจัยในชั้นเรียนเรื่องการแต่งกาพย์กลอน)
7. นิราศโตเกียว (กลอน)
8. นิราศภูกระดึง (โคลงสี่สุภาพ)
9. นิราศสมุย(กลอนแปด)
10. นิราศไทรโยค(โคลงดั้น)
11. นิราศเมืองเหนือ(โคลงดั้น)
12. นิราศบางระจัน (กลอน)
13. นิทานพื้นบ้านอีสาน 32 เรื่อง (กลอนนิทาน)
14. ลีลาลูกทุ่ง 39 เรื่อง (เรื่องเล่า)
15. คู่มือการใช้ CU-WRITER (เอกสารประกอบการอบรมครู 2535)
16. แนะนำการสร้าง POERPOINT PRESENTATION(เอกสารประกอบคำบรรยายในการอบรมครู 2536)
17. แนะนำการใช้ EXCEL เพื่อการวัดผลประเมินผลการเรียน(เอกสารประกอบการอบรมครู 2539)
18.เอกสารประกอบการสอนหลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพครู วิชาวิธีสอนวิชาเฉพาะ
19. เอกสารประกอบการสอนหลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพครู การประเมินผลและสร้าง
แบบทดสอบ 
20. แนะนำการแต่งกลอนแปด
21. แนะนำการแต่งกาพย์ยานี 11
22. แนะนำการแต่งกาพย์สุรางคนาง
23. แนะนำการแต่งกลอนกลบท

24. แนะนำการแต่งโคลงสี่สุภาพ
25. แนะนำการแต่งโคลงดั้น
26. แนะนำการแต่งโคลงกลบทชนิดต่าง ๆ

27. บท โคลง กลอนแต่งอวยพรวันเกิดและอวยพรอื่น ๆ กว่า 100 บท
28. นิราศดอยอ่างขางคำกลอน แต่งปี 2556
29. ท้าวขูลูนาวอั้วคำโคลง แต่งปี 2558
30. นางผมหอมคำกลอนกลบท แต่งปี 2558

31. ท้าวเซียงเหมี่ยงคำโคลง โคลงกลบท 40 ตอน แต่งปี 2559
 32. นิทานอีสปคำกลอน 100 เรื่อง (สื่อแบบ E-Book)


ผลงานด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยี 

1. คู่มืออบรมการใช้โปรแกรม CU-WRITER (2534)
2. คู่มืออบรมการใช้โปรแกรม RW-WRITER (2534)
3. คู่มืออบรมการใช้โปรแกรม MS-WORD (2534)
4. แนะนำการใช้โปรแกรม EXCEL วิเคราะห์แบบทดสอบ
5. เทคนิคการวิเคราะห์ค่าสถิติด้วย EXCEL
6. เอกสารประกอบการสอนวิชาหลักและวิธีสอนทั่วไป ( สื่อแบบ E-Book)
7. เอกสารประกอบการสอนวิชาวัดผลประเมินผล ( สื่อแบบ E-Book)
8. ผลงานเขียนแบบความเรียง 40 เรื่อง ( สื่อแบบ E-Book)
9. ผลงานเขียนแบบร้อยกรอง 50 เรื่อง ( สื่อแบบ E-Book)
10. รวมผลงานการสร้างเวบไซท์ 10 เวบไซท์ ( สื่อแบบ offline internet)
11. สนทนาธรรมกับอาจารย์ขุนทอง ( สื่อแบบ E-Book)
12. บทสนทนาหลักธรรมและแนวปฏิบัติของชาวพุทธ (ไฟล์เสียง บันทึก ปี 2553-2556) 

13. ตารางเอกเซลสำเร็จรูปวิเคราะห์ค่าสถิติพื้นฐาน
14. ตารางเอกเซลสำเร็จสำหรับวิเคราะห์แบบทดสอบ
15. ตารางเอกเซลวิเคราะห์ค่าสถิติสำหรับใช้ทดสอบผลการวิจัยเชิงทดลอง 


ผลงานการพัฒนาเวบไซท์หลายแห่ง ปิดไปแล้ว 7 แห่ง ที่ยังเปิดอยู่ เป็นเวบบลอก 4 แห่ง
ได้แก่


http://mykht.blogspot.com/
http://khuntong52.blogspot.com/
http://newjarinya.blogspot.com/
http://nrongnu59.blogspot.com/

ปัจจุบันอยู่บ้านเลขที่ 65 ถนนมะลิวัลย์ ตำบลกุดป่อง อำเภอเมือง จังหวัดเลย 42000
และที่ 28/68 ศรีโสธรตัดใหม่ อำเภอเมือง จังหวัดฉะเชิงเทรา 24000

วันพุธที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

มงคลชีวิต


                มงคลคือเรื่องที่เป็นความดีความงาม เป็นศิริ เป็นศรีสง่า แก่ผู้ปฏิบัติ สมัยพุทธกาลมีคนสอน
มงคลแตกต่างกันไปจนหาข้อสรุปยาก ครั้งหนึ่งพากันไปพบพระพุทธเจ้า ถามถึงเรื่องที่เป็นมงคลแก่
ชีวิตท่านสอน ว่า ทำเรื่อง 38 ประการต่อไปนี้จะเป็น มงคลแก่ชีวิต และเป็น อุดมมงคลคือมงคลอันสูงสุด ข้อสังเกตคือ ทุกเรื่องที่ท่านสอน เป็นความจริง ใครปฏิบัติก็เป็นมงคลที่ดียิ่งสำหรับผู้นั้น  พุทธศาสนิกชนเราเมื่ออยากได้มงคลแก่ชีวิต ลองเลือกไปปฏิบัติดู แล้วเราจะได้มงคลตามปรารถนา เพื่อให้เข้าใจง่ายขึ้นได้คัดเอาบทสวดมงคลสูตร พร้อมคำแปลจากหนังสือสวดมนต์แปล มาให้อ่านดูด้วยครับ
---------------

ขุนทอง ศรีประจง



มงคลสูตร + คำแปล
.........เอวัมเม สุตัง ฯ เอกัง สะมะยัง ภะคะวา สาวัตถิยัง วิหะระติ เชตะวะเน อะนาถะปิณฑิกัสสะ อาราเม ฯ อะถะโข อัญญะตะรา เทวะตา อะภิกกันตายะ รัตติยา อะภิกกันตะวัณณา เกวะละกัปปัง เชตะวะนัง โอภาเสตวา เยนะ ภะคะวา  เตนุปะสังกะมิ อุปะสังกะมิตวา ภะคะวันตัง อะภิวาเทตวา เอกะมันตัง อัฏฐาสิ ฯ เอกะมันตัง ฐิตา โข สา เทวะตา ภะคะวันตัง คาถายะ อัชฌะภาสิฯ 
.........ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้า เสด็จประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ใกล้เมืองสาวัตถี ครั้งนั้นแล ครั้นปฐมยามล่วงไปแล้ว เทวดาตนหนึ่งมีรัศมีงามยิ่งนัก ยังพระวิหารเชตวันทั้งสิ้นให้สว่างไสว เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับ ถวายบังคมแล้วยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้ว ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าด้วยคาถาว่า
..........พะหู เทวา มะนุสสา จะมังคะลานิ อะจินตะยุง อากังขะมานา โสตถานังพรูหิ มังคะละมุตตะมังฯ 
หมู่เทวดาและมนุษย์เป็นอันมาก ผู้หวังความสวัสดี ได้คิดถึงเรื่องมงคลแล้ว ขอพระองค์ทรงตรัสบอกทางมงคลอันสูงสุดเถิด  พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสตอบว่า 
..........  อะเสวะนา จะ พาลานัง.............. ปัณฑิตานัญจะ เสวะนา 
............ปูชา จะ ปูชะนียานัง....................เอตัมมังคะละมุตตะมัง ฯ 
            1. การไม่คบคนพาล                    2. การคบแต่บัณฑิต
            3. การบูชาบุคคลผู้ควรบูชา          เป็นมงคลอันสูงสุด
........... ปะฏิรูปะเทสะวาโส จะ.................ปุพเพ จะ กะตะปุญญะตา 
............อัตตะสัมมาปะณิธิ จะ.................. เอตัมมังคะละมุตตะมัง ฯ
             4.  การอยู่ในสถานที่อันสมควร     5. ความเป็นผู้มีบุญอันได้กระทำไว้แต่กาลก่อน
             6. การตั้งตนไว้โดยชอบตามทำนองคลองธรรม      เป็นมงคลอันสูงสุด
............ พาหุสัจจัญจะ สิปปัญจะ.................วินะโย จะ สุสิกขิโต 
............สุภาสิตา จะ ยา วาจา.................. เอตัมมังคะละมุตตะมัง ฯ 
           7. ความเป็นผู้ได้ยินได้ฟังธรรมและปฎิบัติธรรมมาก  8.  ความเป็นผู้มีศิลปวิทยา  
           9. ความเป็นผู้ได้ศึกษาเล่าเรียนดี 10. ปฎิบัติในระเบียบวินัยเป็นอันดี  
          11.การกล่าววาจาที่เป็นธรรมและไพเราะ  เป็นมงคลอันสูงสุด
............มาตาปิตุอุปัฏฐานัง.......................ปุตตะทารัสสะ สังคะโห
............อะนากุลา จะ กัมมันตา................. เอตัมมังคะละมุตตะมัง ฯ 
             12. การอุปัฎฐากบำรุงบิดามารดาให้เป็นสุข     13.การสงเคราะห์บุตรและภรรยาให้มีความสุข
            14. การทำการงานให้เสร็จเรียบร้อยไม่คั่งค้าง  เป็นมงคลอันสูงสุด
............ทานัญจะ ธัมมะจะริยา จะ.............ญาตะกานัญจะ สังคะโห 
............อะนะวัชชานิ กัมมานิ ...................เอตัมมังคะละมุตตะมัง ฯ
             15. การให้ทาน  16. การประพฤติธรรม  17. การสงเคราะห์ญาติและคนใกล้ชิดทั้งหลาย
              18.การทำงานที่ไม่ประกอบด้วยโทษทั้งทางโลกและทางธรรม  เป็นมงคลอันสูงสุด
............ อาระตี วิระตี ปาปา......................มัชชะปานา จะ สัญญะโม 
............อัปปะมาโท จะ ธัมเมสุ................. เอตัมมังคะละมุตตะมัง ฯ 
              19.  การงดเว้นจากการทำบาปทั้งหลาย  20.  การงดเว้นจากการดื่มน้ำเมา
              21. ความไม่ประมาทในธรรมทั้งหลาย     เป็นมงคลอันสูงสุด
............ คาระโว จะ นิวาโต จะ................. สันตุฏฐี จะ กะตัญญุตา 
............กาเลนะ ธัมมัสสะวะนัง................. เอตัมมังคะละมุตตะมัง ฯ 
               22. การเคารพต่อบุคคลและสิ่งที่ควรเคารพ  23.ความไม่เย่อหยิ่งจองหอง  
               24. ความสันโดษยินดีในสิ่งที่ตนมีอยู่และสิ่งที่ตนพึงหาได้โดยชอบธรรม    
               25. ความเป็นผู้มีกตัญญญูรู้คุณที่ท่านได้ทำไว้แล้วแก่ตน  
               26.  การได้ฟังธรรมคำสอนของสัตบุรุษตามกาลเวลาอันสมควร  เป็นมงคลอันสูงสุด
............ ขันตี จะ โสวะจัสสะตา.................สะมะณานัญจะ ทัสสะนัง 
............กาเลนะ ธัมมะสากัจฉา.................  เอตัมมังคะละมุตตะมัง ฯ 
            27.  ความเป็นผู้มีขันติความอดทน   28. ความเป็นผู้ว่านอนสอนง่าย    
            29. การได้เห็นสมณพราหมณ์ผู้ทรงศีลทั้งหลาย 30. การได้เจรจาสนทนาธรรมตามกาลเวลาอัน                สมควร    เป็นมงคลอันสูงสุด
............ ตะโป จะ พรัหมะจะริยัญจะ.........  อะริยะสัจจานะ ทัสสะนัง 
............นิพพานะสัจฉิกิริยา จะ.................  เอตัมมังคะละมุตตะมัง ฯ 
            31. การมีความเพียรเพื่อเผากิเลส  32.  การประพฤติพรหมจรรย์คือปฎิบัติตนให้เป็นผู้ประเสริฐ                 33.  การมีปัญญาเห็นอริยสัจทั้งหลาย   34. การทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพาน   เป็นมงคลอันสูงสุด
............ ผุฏฐัสสะ โลกะธัมเมหิ................. จิตตัง ยัสสะ นะ กัมปะติ 
............อะโสกัง วิระชัง เขมัง.................... เอตัมมังคะละมุตตะมัง ฯ
             35.  การทำจิตไม่ให้หวั่นไหวในโลกธรรมที่มากระทบ   36. การไม่ทำใจให้เศร้าโศก    
             37. การทำจิตให้ปราศจากธุลีคือกิเลสทั้งหลาย   38การทำจิตให้ถึงพระนิพพาน   
             เป็นมงคลอันสูงสุด
............เอตาทิสานิ กัตวานะ.....................  สัพพัตถะมะปะราชิตา 
............สัพพัตถะ โสตถิง คัจฉันติ..............ตันเตสัง มังคะละมุตตะมันติ ฯ 
               อนึ่ง เทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย  เมื่อได้กระทำมงคลทั้งหลายเช่นนี้แล้ว  ย่อมเป็นผู้ไม่พ่ายแพ้ในที่ทั้งปวง  และย่อมถึงความสวัสดีในที่ทั้งปวง    ทั้งหมดนั้นเป็นมงคลอันสูงสุด ของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลายเหล่านั้นแล ฯ

วันเสาร์ที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

ตามรอยพ่อ


ตามรอยพ่อ
.........ช่วงนี้จะได้เห็น ได้ยินคนไทยเราแสดงความอาลัยต่อในหลวงรัชกาลที่ 9 กัน ทั่วไปก็เป็นความ

รู้สึกที่คนส่วนมากมีต่อพระองค์ท่าน มีบางคนถึงกับประกาศว่าจะขอ ปฏิบัติตนตามรอยพระองค์ท่าน
เป็นภาพที่น่าอัศจรรย์มากที่การจากไปของท่านมีผลทำ ให้คนจำนวนมากอยากจะตามรอยท่าน
ก่อน|นี้อาจแค่ชื่นชม รักใคร่ ถือเป็นเรื่องปกติ แต่ตอนนี้ขนาดคิดจะตามรอยท่าน แปลกประหลาด
มาก ๆ ถ้าคนสองคนไม่เท่าไรหรอก นี่มันคนทั้งบ้านทั้งเมือง คนที่เป็นประชาชนของพระราชากำลัง
นึกคิดอยากทำความดี กำลังอยากตามรอยพ่อ โอกาสเช่นนี้ใครจะสามารถรณรงค์ให้คนจำนวน
มหาศาลเกิดความ 
นึกคิดเช่นนี้ได้ หากมีคนช่วยให้พวกเขาได้กระทำตามสิ่งที่พวกเขากำลังคิด
และอยากตาม รอยพ่อ
ได้สำเร็จ น่าจะได้ผลลัพธ์ที่ดียิ่ง เป็นพลังอันมหาศาลที่จะขับคลื่อนบ้านเมือง
ของเรา ก้าวไปข้างหน้าและ
พัฒนาไปสู่จุดหมายที่พ่อหลวงต้องการ คือการกินดีอยู่ดีของประชาชน 
.........ความคิดอยากทำดีตามรอยพ่อ เป็นความคิดที่ดีมาก เพราะพ่อหลวงท่านมีรอย บาทให้ติดตาม
ได้มากมายเหลือเกิน คิดว่าน่าจะสนองความอยากเดินตามได้นับแสนนับ ล้านความคิด เพราะรอยที่พ่อหลวงย่ำไปทั่วทุกภูมิภาคกว่า 70 ปี มีรอยให้ศึกษาและเลือก ปฏิบัติอย่างได้ผลดีจำนวนมาก มาลองศึกษาดูกันดีไหมว่ามีร่อยรอยอะไรบ้างที่พ่อหลวง ทิ้งไว้ให้เราได้ลองติดตามพระองค์ท่าน
.........พ่อเป็นนักสารสนเทศ รู้ข้อมูลข่าวสารมากมาย พระองค์ท่านเรียนรู้ 5 ภาษาใช้สื่อวิทยุโทรเลข 

คอมพิวเตอร์ อินเตอร์เนต ไม่ใช้รู้ผิวเผินแต่รู้ระดับเชี่ยวชาญ อยากเดินตามรอยพระองค์ท่านสักเสี้ยว
หนึ่งก็คงมีค่าล้นแล้วฝากลูก ๆของพระองค์ท่านได้ตามรอยเรื่องสารสนเทศให้ดีเพราะเป็นประโยชน์

ต่อการพัฒนาทุก ๆด้าน อย่ามัวแต่ เล่นแชทเล่นไลน์คุยกันสนุก ๆ เท่านั้น ต้องใช้สื่อสารสนเทศได้
ด้วยจึงจะดียิ่งขึ้น 
........พ่อหลวงเป็นนักศึกษาวิจัยชอบที่จะทำการศึกษาค้นคว้าภาคสนามมากกว่า ลำพัง ภาคทฤษฎี
เราคงไม่เห็น กังหันน้ำชัยพัฒนา ไม่เห็นวิธีแก้ดินเปรี้ยว ไม่เห็นพลังงาน ทดแทนต่าง ๆ ใครเคยไป
เยียมพระราชวังสวนจิตรลดาจะสรุปได้เลยว่า พ่อหลวงทำให้วัง กลายเป็นสนามทดลองทำวิจัยค้น
คว้าศาสตร์ต่าง ๆมากมาย ผลเป็นประโยชน์แก่ประชาชน ของพระองค์ทั้งนั้น พันธุ์ข้าวดี ๆ การผลิต
นมสด การเพาะเลี้ยงเห็ด เพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ เพาะเลี้ยงสาหร่าย การผลิตไบโอดีเซล ฯลฯ ร่อยรอย
การชอบวิเคราะห์วิจัยนี่ก็ยอดเยี่ยม ลองเดินตามพระองค์ท่านดีไหม ไม่ต้องทั้งหมดหรอก แค่อยาก
รู้อยากเรียน อยากทดลอง และลงมือทำจริงให้เกิดผล ก็มีคุณค่าแก่เรามากยิ่งแล้ว
.......พ่อหลวงปฏิบัติพระองค์ยึดมั่นในศีลธรรม ปฏิบัติพระองค์เป็นผู้ให้ทั้งวัตถุสิ่งของ และสิ่งที่มีค่า

ยิ่งต่อการดำรงชีพของพสกนิกรมากมายประมาณค่ามิได้ ให้การศึกษาให้ บริการด้านสุขภาพอนามัย
 ฯลฯ ส่วนพระองค์สนใจศึกษาปฏิบัติธรรมเสมอเมื่อมีโอกาส ร่องรอยพระคือผู้ให้ที่ยิ่งใหญ่ ปฏิบัติ
พระองค์เป็นแบบอย่างของผู้มีศีลมีธรรม ตามเสด็จ รอยบาทด้านนี้ก็จะมีค่ายิ่งและเป็นมงคลแก่ชีวิต
ดียิ่งทีเดียว
.......พ่อหลวงเป็นนักการศึกษาผู้ยิ่งใหญ่ เป็นครูเหนือครูแบบการจัดการศึกษาที่พ่อ อยากให้ลูกของพระองค์ได้รับการศึกษาที่ดี มีครูผู้สอนที่พร้อมจะถ่ายทอด มีสื่อและ นวัตกรรมที่ทันสมัย อธิบายยาก

จะเข้าใจ พ่อเลยให้จัดโรงเรียนไทยคมให้ดู จนวันนี้แล้ว น่าเห็นโรงเรียน ไทยคม 2 3 4 5... กระจาย
ไปทั่วประเทศ ทราบว่าผู้บริหารกำลังเร่งกัน อยู่ ลูก ๆพระองค์ท่านรวมตัวกันผลักดันให้เกิดโรงเรียน
ไทยคมทุกจังหวัดก็ดีนะ คนที่ จะได้ประโยชน์ก็ลูกหลานพ่อหลวงนั่นแหละ 
...........พ่อหลวงนักคิด นักค้นคว้าทดลอง ทำให้เราได้รู้ได้ยิน เกษตรทฤษฎีใหม่ เศรษฐกิจพอเพียง
 น้ำดีไล่น้ำเสีย 4น้ำ3รส แกล้งดิน ป่าสามอย่างประโยชน์สี่อย่าง ปลูกป่าแบบไม่ปลูก ขาดทุนเป็น
กำไร แก้มลิง เส้นทางเกลือ ล้วนเป็นผลจากการเป็นนัก คิดของพ่อหลวง มิใช่คิดเฉย ๆ แต่นำไป
ปฏิบัติ แก้ปัญหา ร่องรอยนี้ก็น่าติดตาม ฝึกเป็นคนใช้ความนึกคิด คิดหาข้อมูลสภาพแวดล้อมปัจจัย
ที่เป็นสาเหตุและแนวทางที่ จะแก้ไขหรือพัฒนา และการทดลองปฏิบัติ ในชีวิตประจำวันเรามักจะมี
เรื่องราว ปัญหา ที่เข้ามาให้ได้คิดได้แก้ไข ลองใช้แนวทางของพ่อหลวงดู
……….พ่อหลวงผู้มีเวลาและงานเพื่อประโยชน์สุขแก่พสกนิกรและความเจริญของประเทศ ชาติสม

กับที่เคยตรัสว่า จะปกครองแผ่นดินโดยธรรมเพื่อประโยชน์สุขแก่มหาชนชาวสยาม พระองค์ทำได้
จริง 
เราคงต้องถามตนเองว่ามีแนวความคิดที่เป็นประโยชน์แก่ผู้อื่น แก่ชุมชน แก่สังคมบ้างหรือยัง
ถ้ายัง
ควรรีบหามาไว้และพยายามทำให้เกิดเป็นจริงให้ได้ เหมือน พ่อหลวงท่านทำมาแล้ว สาธุรอย
เท้าพ่อ
รอยนี้ยิ่งใหญ่มหาศาลจริง ๆ 
.........ร่องรอยพ่อที่น่าติดตามยังมีอีกมากมาย 70 ปี ที่ทรงงานไม่หยุดของพระองค์ มี ผลงานเกิดขึ้นมากมายมหาศาล อยากตามรอยพระองค์ท่าน ลองเลือกศึกษาดู อันไหนดี เหมาะสมกับตัวเรา ก็ลอง
เอามาใช้เป็นแนวดำเนินชีวิตของเราได้ ท่านคงภูมิใจมาก ถ้ารู้ว่าลูกหลานพระองค์ขยันทำสิ่งที่ดีงาม
เป็นประโยชน์แก่ตนเองและผู้อื่น หลาย ๆคนคิด และลงมือทำจริงจัง บ้านเมืองจะได้ประโยชน์อย่าง
ยิ่ง จริงไหมขอรับ

ผู้เขียน
6 พฤศจิกายน 2559

ทำบุญขาดทุน


ทำบุญขาดทุนมีด้วยเหรอ
..........ทำบุญขาดทุน มีด้วยเหรอ เป็นพุทธวจนะมีอ้างอิงในพระไตรปิฎกไหม อ๋อ มีครับ แต่ไม่ใช่คำของ
พระพุทธเจ้าตรัสหรอก เลยไม่มีอ้างในพระไตรปิฎกผมพูดเองเวลาสอนชาวบ้านสอนลูกหลานว่าทำบุญอย่า ให้ขาดทุนนะ แล้วมันจริงไหม แน่นอนครับ เพราะพูดโดยยึดหลักคำสอนของพระพุทธเจ้านั่นแหละ
.........พระพุทธเจ้าสอนอะไรเกี่ยวกับการทำบุญ ท่านสอนว่าศาสนิกชนต้องขยันทำบุญอย่าขี้เกียจ พระหรือ โยมไม่ต่างกัน ต้องขยัน ท่านบอกวิธีทำด้วยว่ามี 3 แนวทางคือ ทานมัย สีลมัยและภาวนามัยก็บุญกิริยาวัตถุ 3 ประการนั่นไง รู้ชื่อกันทั้งเมืองแหละไม่ใช่คำแปลกอะไร แต่ถามหน่อยนะว่า มีจุดประสงค์อะไรถึงทำทาน ต้องการอะไรถึงปฏิบัติสีล มีประโยน์อะไรถึงภาวนา อย่าเพิ่งตอบนะ จดไว้ในใจก่อน เดี๋ยวผมจะขยายความ ให้ฟัง และเทียบดูว่าได้สักกี่คะแนน
.......ทานมัย แปลว่า บุญเกิดจากการทำทาน แสดงว่าบุญตัวนี้ทำวิธีนี้เท่านั้นถึงจะได้ แล้วตัวบุญที่เกิด
มันเป็นแบบไหน มันเกี่ยวข้อกับกิเลสตัวหนึ่งคือความโลภเป็นลูกหลานมันชื่อว่ามัจฉริยะความขี้เหนียว
ความตระหนี่ มันเกาะอยู่ที่ใจเรานี่แหละ อยากรู้เรามีตัวใหญ่ไหม ลองควักแบงค์พันออกมาบริจาคดูสิ 

มัน จะคอยห้ามว่าอย่า ๆ ๆ ๆ ๆ เก็บไว้ก่อน เอาแบงค์ 20 ให้เขาไป มันแหละมัฉจริยะ ปฏิบัติธรรมไม่พัฒนาไป ไม่ถึงไหนซักที เพราะความโลภมันตัวโตอยู่ จะไปสู่แดนอริยะ ต้องกำจัดความโลภ ซึ่งต้อง
ใช้เวลานาน ท่านจึงสอนให้ทำทานกันบ่อย ๆ จะได้ถากโลภะให้เบาบางไปเรื่อย ๆ 
...........สีลมัย แปลว่าบุญเกิดได้จากการปฏิบัติศีล ไม่ใช่จำศีลนะ แค่จำได้ ทุกข้อ บุญยังไม่เกิด ต้อง
ปฏิบัติ บ่อย ๆ จนศีลติดตัวเรา มีด้วยเหรอศีลติดตัว มีซิ ติดเป็นนิสัยไง เจอสัตว์งูตัวเล็ก ๆ หาไม้จะฟาด
ให้ตาย ศีลข้อปาณามันปัดมือไว้อย่าทำ ๆ เห็นทองเส้นโต ๆ ตกหล่น หยิบมา ศีลอทินนามันห้าม บอก

เอาไป แจ้งความหาเจ้าของดีกว่า คนสวยมานั่งเบียดร้อนฉ่าเลยศีลข้อสามมันบอกไฟชัด ๆระวังหน่อย
นี่การ ปฏิบัติศีลได้บุญต้องแบบนี้ เลยปฏิบัติได้ตลอดเวลา ไม่ต้องไปจำศีล ขนาดพระเณรยังไม่จำเลย ลองให้เณร ท่องสิบข้อให้ฟังสิ ท่องไม่ได้หรอก เพราะจำไม่ค่อยได้ พระยิ่งแล้วใหญ่ 227 ข้อ ใครจะจำไหว ผมเคยบวชนะแต่ไม่เคยชวนโยมมาจำศีล เพราะอยากให้ปฏิบัติศีลมากกว่า ปฏิบัตืศีลที่บ้าน ที่
ทำงาน จะเห็นประโยชน์ ศีลได้ง่าย ลองดูสิ ครอบครัว 5 คน พ่อแม่ลูกมีศีลทุกคนจะดีเลิศขนาดไหน
อ้อเกือบลืม ทำไมพระพุทธเจ้า สอนให้ปฏิบัติศีล เพราะทั้ง 5 เรื่องเป็นตัวก่อโทสะ ทำให้ใจเร่าร้อน หาความสงบเย็นยาก ปฏิบัติศีลจะช่วย ให้โทสะเบาบางลง กลายเป็นคนใจดีมีเมตตากรุณาซื่อสัตย์
ไม่ประมาท
..........ภาวนามัย บุญเกิดได้จากการศึกษาอบรม ภาวนาแปลว่าอบรม ทำให้เจริญ ภาวนาแล้วจะเกิดปัญญา เมื่อมีปัญญาก็กระทบกิเลสตัวเอ้คือ โมหะ ความโง่เขลา เพราะโง่เขลานี่แหละเราจึงเดินหา

ความเจริญไม่ค่อย เจอ แถมโดนหลอกง่ายด้วย มันหลอกให้กราบคางคกก็เอา อยากได้หวยนี่ ถ้ามีปัญญาก็รู้ได้ว่า กูจบปริญญา ยังไม่รู้เลยหวยจะออกตัวไหน คางคกเองไม่รู้หนังสือจะไปรู้หวยได้ไง
ปัญญามันดีนะชำระโมหะได้ ท่านจึง สอนให้ภาวนามาก ๆ จะได้ฉลาด ความฉลาดนั่นแหละคือ กุสล
 คำว่ากุสล แปลว่า ฉลาด ภาวนาแล้วถ้ายังไม่ ฉลาด กุสล ก็ไม่เกิด ไม่ใช่บุญ
..........สรุปการทำบุญด้วยวิธี ทานมัย เพื่อขัดเกลา โลภะ ปฏิบัติศีลมัยเพื่อขัดเกลาโทสะและทำภาวนามัย เพื่อขัดเกลาโมหะเมื่อรู้จุดประสงค์หลักการทำบุญเช่นนี้แล้ว ก็ไม่ยากที่จะอธิบายข้อความที่กระผมยกไว้ เป็นหัวเรื่องว่า ทำบุญแล้วขาดทุน มีจริงไหม เหมือเราทำไร่ทำนา เราก็มีจุดหมายอยากได้อะไร ผลผลิต น้อยบางทีก็ขาดทุน ไปค้าขายขาดทุนบ่อย แบบนั้นแหละทำบุญก็ขาดทุนได้ถ้าไม่เป็นไปตามจุดหมาย ที่เราคาดหวังไว้
..........ทำทานเพื่อขจัดโลภะ แต่ไม่ระมัดระวังหลงไปสะสมความโลภตัวใหม่ ทำทานไปยี่สิบบาทใส่
ซอง ผ้าป่า ใส่บาตรพระ เสร็จแล้วก็มานั่งสร้างโลภตัวใหม่ สาธุชาติหน้าร่ำรวยเงินทองมหาศาล ได้
เกิดบนสวรรค์ มีวิมานแก้ววิมานทอง ฯลฯ ประมาณราคาหลายร้อยล้าน สละยี่สิบบาท อยากได้ร้อย
ล้าน อันนี้ขาดทุนแน่ ๆ ...จำศีลทุกวันพระ กลับมาบ้านกลายเป็นคนเจ้าระเบียบเห็นคนอื่นไม่ได้จำศีล
เป็นพวกบาป ครอบครัวก็เครียด ไม่เป็น สุคติง ยันติ ปฏิบัติศีลแล้วบ้านเป็นสุคติ นิพพุติง ยันติ ปฏิบัติ
ศีลแล้วจะเข้าถึง ความดับทุกข์ ผู้ถือศีล บางคนกลายเป็นคนขี้โมโห ว่ากล่าว ตักเตือนไม่ได้ นี่ก็ขาด
ทุนนะ ลองแนะนำพวกถือศีลดูสิ ว่าถือศีลแล้ว อย่าขี้โมโหนะ อย่าแอบหยิบเงินนะ อย่าขี้เมานะ ถ้าไม่
เจ็บตัวก็ใช้ได้แสดงว่าเย็นลง ส่วนพวกภาวนาบ่อย ๆ กุสล คือ ความฉลาดเกิด โมหะความงมงายก็
ค่อย ๆจางไป เคยกราบลูกวัวสองหัวก็ไม่ทำ ขูดเปลือกไม้ก็เลิก เรียนหนังสือเก่ง แบบนี้ถึงจะดี แต่ถ้าโมหะหนักหนากว่าเดิมก็ใช้ไม่ได้ เช่นกลับบ้านมาบอกเห็นผีมาขอส่วนบุญ เห็นหวยสามตัว แบบนี้มันหนักกว่าเดิมอีก ทำบุญแล้วขาดทุนเป็นแบบนี้เอง 
..........ทำทานแล้วอย่าไปอยากได้โน่นอยากได้นี่ พระท่านแนะให้อุทิศส่วนบุญน่ะดีแล้ว จะได้ลืมเรื่องสวรรค์ วิมานไป อุทิศบุญได้บุญแถมมาอีก สีลมัยก็เช่นกัน ไหว้พระสวดมนต์เสร็จก็ทบทวนศีลบริสทธิดีทุกข้อ บุญ ก็เห็น ๆ อุทิศต่อเลย ภาวนากลับมาทบทวนดูอบรมมาได้กุสลคือความฉลาดกี่มากน้อย เป็นบุญนะ อุทิศต่อ ฝึกแบบนี้การทำบุญไม่ขาดทุนแน่ เพราะไม่ได้ใช้บุญในทางที่ผิด ไม่เพิ่มโลภะ โทสะหรือโมหะ เอาไป ใช้ประโยชน์ได้ครับ สวัสดี