วันศุกร์ที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2559

7 สค. 59 ไปเยี่ยมบ้าน

7 สค.59 ไปลงประชามติที่เมืองเลย

-------------

............7 สิงหาคม 2559 ตื่นเช้ามาทานข้าวต้ม ที่ครูนกจัดให้ที่บ้าน เสร็จแล้วชวนกันใช้สิทธิ์ออกเสียงลง ประชามติ ไปกันทั้งบ้าน เต็มคันรถพอดี ใช้สิทธิ์แค่ 3 คน ตา ลูกสาว ลูกเขย ศูนย์เลือกตั้งของบ้านเรา อยู่ที่โรงเรียนเมืองเลย ห่างจากบ้าน 1.2 กิโลเมตร ไปถึงตอนสองโมงครึ่ง คนยังไม่มาก เขาส่งชื่อและ ลำดับที่ไปให้ที่บ้าน เพียงควักบัตรประชาชนส้งให้ เขาก็ตรวจสอบและแจกบัตรให้ พร้อมขอให้ปั้มหัว แม่มือใส่ขั้วบัตรไว้ด้วย เข้าคูหากากบาทตามที่ต้องการ แล้วนำบัตรมาหย่อนลงตู้พลาสติคใส ดีมองเห็น ด้วย แบบนี้ไม่ต้องวิตกจะมีบัตรปลอมปน หลังจากนั้นก็ได้พบคนรู้จักสี่ห้าค้น ทักทายกันพอสมควร
ก็ลากลับ 
......ส่งแบงค์ลูกเขยกับหลานสองคนที่บ้าน เขาจะไปดูหนังกัน เลยมีสองคนที่จะไปเยี่ยมบ้านป้าพุด ที่อำเภอโนนสัง ตำบลหนองเรือ หมู่บ้านหนองลุมพุก ตอนที่อพยพมาจากบ้านแก อำเภอกมลาไสย จังหวัดกาฬสินธุ์ พ่อแม่มาปักหลักที่หมู่บ้านนี้ ปี พ.ศ. 2498 นานเข้าก็ล้มหายตายจากไปตามสภาพตอนนี้ เหลือพี่สาวคนรอง ชื่อยายพุด ศรีประจง ครอบครองมรดกอยู่ที่นี่ พร้อมลูกหลานเป็นโหล นี่คือ สาเหตุที่ หาโอกาสแวะมาเยี่ยม พี่สาวอีกคนก็ยายทุม หอมจันทร์ บ้านหนองกองเหนือ อำเภอเมือง จังหวัด กำแพงเพชร เป็นน้องสาวของยายพุด น้องสาวอายุแปดสิบถ้วนแล้วปีนี้ (2559) 
.......เราออกเดินทางไปตามถนนหลวงสาย 210 เมื่อเวลา 10.00 น. ถนนว่าง คนไปใช้สิทธิ์กันมาก เลยวิ่ง รถกันตามสบาย ๆ เป็นเส้นทางที่ผมใช้เดินทางไปทำงานที่อำเภอวังสะพุงหลายสิบปี สองข้าง ทางไม่มีอะไรแปลก ยังเหมือนเดิม ที่เปลี่ยนไปคือความเจริญของบ้านเมือง ทุงนาป่าเขา กลายเป็น ตึกรามบ้านช่อง ใกล้ถึงสนามบิน ซากเครื่องบินสมัย พตท 1718 รับกับ ผกค. เอามาแสดงไว้ ยังอยู่ ตรงทางเข้าพิพิธภัณฑ์ อยู่ติดสนามบิน แต่ดูสภาพเก่าโทรมมาก ถัดมาเป็นสนามบินชั้นเยี่ยมของ ภูมิภาคนี้ เพราะทหารอเมริกาเข้าสร้างให้เครื่องบิน B52 มาลงช่วงสงครามลาวเวียดนาม พอดีสงคราม สงบก่อน เลยไม่ได้ใช้ เมืองเลยจึงมีสนามบินที่คุณภาพมาตรฐานดีเยี่ยม สายการบินที่มาใช้เห็นมีแต่ เครื่องบินขนาดเล็กขนาดกลาง สนามบินรองรับได้สบายมาก 
.......เลยสนามบินไปก็เป็นภูกระแต เดิมเป็นป่าทึบกระรอกกระแตเยอะ พอคนมารุกทำสวนทำไร่ กระแต 
ก็หายไป ได้ยินว่าไปมีชื่ออยู่กรุงเทพ ฯ ดูภาพแล้วไม่ใช่ นั่นมันนักร้อง ภูกระแตตอนนี้มีที่ทำการสหกรณ์ออมทรัพย์ครูกรมสามัญจังหวัดเลย มีศูนย์การค้าโลตัส มีรีสอร์ท โรงแรม เต็มไปหมด มิน่ากระรอกกระแตจึงหนีหายไป ลงจากเนินภูกระแตก็เป็นทุ่งนาข้าว แต่มีศูนย์จำหน่ายรถยนต์ไปสร้าง อาคารขนาดใหญ่ขึ้นไว้ ไม่นานผืนนาน่าจะหายไป ถัดมาอีกนิดก็เป็นหมู่บ้าน 
.......บ้านขอนแก่น หนองบอน หมู่บ้านกลางทุ่งนาเมื่อก่อน ตอนนี้มีบ้านเรือนกระจายไปตามสองข้างทาง มองไม่เห็นทุ่งนาแล้ว บ้านเมืองเปลี่ยนแปลงเร็วจริง ๆ แสดงว่าคนมากขึ้น บ้านเรือนก็ต้องแทรก ไปตามทุ่งนา ถัดมาเป็นเนินป่าสถานทดลองพืชไร่ คอนนี้ถูกแวดล้อมด้วยอาการโรงเรือนของพ่อค้า วานิช จนกลายเป็นกลางเมืองไปแล้ว ยิ่งสถานีไฟฟ้าย่อย สถานีวิทยุอยู่ติด ๆ กัน เดี๋ยวก็เป็นเมืองใหม่ ลงเนินก็เป็นรีสอร์ทชื่อไร่ขุนแผน ตอนสร้างใหม่ ๆ เขาขายส้มตำไก่ย่าง แลวทดลองสร้างบ้านพักให้เช่า 5 หลัง ขายดีมาก ๆ เพราะห่างจากเทศบาลเพียง 12 กิโลเมตร ห่างจากวังสะพุงก็พอ ๆกัน พวกหนุ่ม เมียเผลอชวนกิ๊กมาพักผ่อนจนต้องจองคิว มีเรื่องเล่าว่าหนุ่มระดับ ผอ. ขับรถมาจอดแล้วเข้าพัก ตื่นเช้า มา คนอื่นหายไปหมด แกลงมาเอารถเมียนั่งรอในรถอยู่แล้ว แกด่าเอะอะว่า "อ้ายห่า มันทำรีสอร์ท แบบไหนวะ ต้นไม้บังซักต้นก็ไม่มี" ตามคาดถูกยึดรถหลายเดือน ทราบทีหลังว่าเมียติดสินบนคนขับรถ ความจึงแตก 
........บ้านปากปวน เป็นหมู่บ้านขนาดใหญ่ เดิมก็ประมาณ 500 หลังคาเรือน แต่ตอนนี้คงร่วมพัน เพราะ 
เห็นบ้านเรือนยาวเหยียด เดิมปลูกพริกขายจนลือชื่อ พริกดีต้องพริกปากปวน เคยพาครูมาแนะแนวชวน 
ส่งลูกไปเรียน โดนเขาต่อว่าไม่ให้เรียนหรอก ปลูกพริกขายได้เงินปีละหลายหมื่น เสียเวลาเรียนทำไม ผ่านไปหลายปีเริ่มเห็นสัจธรรม ที่ทำกินจำกัด ดินก็จืด ผลผลิตไม่งอกงาม รายได้ลด เด็กที่ไม่ได้เรียน หนังสือก็ลำบาก ทราบว่าเดี๋ยวนี้เปลี่ยนใจกันมากแล้ว เด็กไปเรียนมากขึ้น จนที่เรียนไม่พอ เลี้ยงลูก ยากไม่ธรรมดานะ ไม่รู้ว่าโตขึ้นเขาจะทำมาหากินอาชีพอะไร สิ่งที่พ่อแม่ต้องคิดหนักคือ เด็กต้องฉลาด ถึงจะไม่ถูกเอารัดเอาเปรียบ สามารถมองเห็นช่องทางทำมาหากิน ให้ศึกษาเล่าเรียนไว้ ดีแล้ว
.......ผ่านหน้าโรงเรียนบ้านปากปวน เคยมานิเทศการจัดการเรียนการสอนด้วย ไอที การสร้างเวบไซท์ เพื่อการเรียนการสอน ผู้บริหารสนใจอยากให้ครูทำได้ ก็พยายามเอาใจช่วย เพราะต้องมีสื่ออุปกรณ์ ราคาแพง ใช้งบประมาณมาก แต่ให้รู้หลักวิชาการไว้แล้วพยายามแสวงหาลู่ทางเอาทีหลัง วันนี้ข่าวว่า พัฒนาไปไกลระดับแนวหน้าของกลุ่ม ใช้ได้ทีเดียว 
.......ผ่านเส้นทางบายพาสวังสะพุง มองเห็นสำนักงานเขตพื้นที่เลย 2 ที่เคยมาทำงานอยู่ 2 ปี ได้รับ ความร่วมมือจากเจ้านาย และเพื่อนร่วมงานดีมาก ช่วงนั้นเป็นการรวมประถมมัธยมเข้าด้วยกันแล้วจัด ให้มีเขตพื้นที่การศึกษาดูแลโรงเรียนในสังกัด 70 กว่าโรงเรียน ยุ่งเหยิงดีมาก ๆ เพราะข้อจำกัดมากมาย จนไปไม่รอด หลังเราเกษียณก็กระจายออกจากกันเป็นคนละเขต ประถมและมัธยม คนคิดคงคิดแบบ นักวิชาการ แต่พอเอาจริงยากยุ่งจนต้องถอย 
.......ผ่านหน้าโรงเรียนศรีสงครามวิทยา ที่คนทั่วไปรู้จักว่าเด็กเก่งด้านศิลปะ ครูสังคม ทองมี สอนอยู่ ที่นี่ เกษียณแล้วก็ยังช่วยดูแลศูนย์ศิลป์ให้อยู่ ก็โชคดีของเด็ก ๆที่รักทางศิลปะ ผมอยู่โรงเรียนนี้ตั้งแต่ ปี 2516 - 2529 โรงเรียนเขาตั้งปี 2514 ก็คิดว่าตนเองเป็นครูรุ่นเก่า ๆคนหนึ่ง พอจะรู้จักโรงเรียนบ้างพอ สมควร ครูเขาชอบงานวิชาการทุกกลุ่มวิชา ชอบการบริหารแบบมีแผนงาน มีโครงการ มีการประเมินที่ เป็นรูปธรรม มีห้องสมุดที่ใหญ่มาก ทุกหมวดวิชามีห้องสมุดเฉพาะสาขาวิชา เอาไว้เป็นสื่อการสอน พัฒนาห้องสมุดเป็นห้องพิเศษที่จัดสื่อพร้อมให้เด็กเดินมาเรียน ครูเขาแข่งกันจัดเองไม่ได้บังคับ ผล การเรียนเด็กอยู่ในระดับดี น่าพอใจ ที่ผมรู้เพราะผมเป็นผู้ช่วยผู้บริหาร ฝ่ายวิชาการ ตั้งแต่ปี 2520- 2529 เลยถูกดึงตัวไปทำงานวิชาการในระดับจังหวัด 
.......ผ่านไปเป็นโรงเรียนศึกษาสงเคราะห์เลย สถานีทดลองพืชอาหารสัตว์ เคยแวะมาเยี่ยมบ่อย เพื่อนจากเกษตรกรรมชัยภูมิ เป็นหัวหน้าหน่วยอยู่ที่นั่น มองไปทางไหนเห็นแต่หญ้า กับวัว สมชื่อ ชอบสถานที่ของเขา พื้นที่แปลงหญ้า ขนาบด้วยภูเขาเป็นกำแพงยาวเหยียด ช่วงที่ไถดินปลูกหญ้า พอมันงอกใหม่ ๆ ผืนดินระบายด้วยสีเขียวสุดสายตา งดงามมาก อากาศก็ดีลมพัดโกรกตลอดเวลา หน้าแล้งเขาตัดหญ้า อัดเป็นแท่ง ๆ กองเต็มทุ่งหญ้า พวกเลี้ยงวัวเนื้อวัวนม ได้ใช้บริการ
.........ถัดมาเป็นช่องแคบภูผาสิงห์ เขาสองลูกถูกตัดเป็นถนนไปอุดรธานี เดิมเป็นเนินไหล่เขา ถูกขุด ปรับลงจนราบ กลายเป็นช่องเขาขาด ด้านหนึ่งมีถ้ำชื่อ ถ้ำผาสิงก์ ตอนนี้กลายเป็นวัดไปแล้ว อีก ด้านเป็นแนวไผ่ป่า เคยพากันมาหักหน่อไม้ พวกไม้บง ไม้รวก ไม้ซาง ถามคนรู้จัก เขาบอกว่าตอนนี้ ก็ยังพอมีให้หามากินได้ เพื่อนครูและพี่ชายผมซึ่งเป็นนักการ ชวนมาเดินป่า เขาเล่าว่ายังมีพวก ไก่ป่า กะรอก กะแต ค่อนข้างมาก มีลิงฝูงหนึ่งราว 30 ตัว แต่ไม่เคยไปกับเขาหรอก ไม่ชอบป่ารก ผ่านมาสิบกว่าปีแล้วไม่รู้จะยังมีเหลืออยู่รึเปล่า 
..........บ้านวังไห ชื่อแปลกดี บ้าน วัง ขัดแย้งกันในตัว แถมมีคำ ไห ชวนให้คิดเล่น ๆ ว่า วังอะไรถึง ชอบสะสมไห แล้วมันเกี่ยวอะไรกับบ้าน จะเป็นวังก็เป็นไปซิ จะเป็นทั้งบ้านทั้งวังของ ไห ทำไม ถึงว่า ความหมายมันแปลก นั่นแหละคนสมัยก่อนเขามีเหตุผลเสมอ วัง ไม่ใช่ปราสาทราชวัง แต่ยังหมายถึง แอ่งน้ำในแม่น้ำ ในลำห้วย เขาเรียกวังหิน เพราะมีก้อนหินจมในน้ำ วังยาง เพราะมีต้นยางขึ้นอยู่ วังสะพุงเพราะมีต้นสะพุงขึ้นอยู่ริมฝั่ง วังไห นี่ก็น่าจะเป็นวังน้ำที่ชาวบ้านเขาพบไหที่จมน้ำอยู่ ก็เลย เรียกวังไห พอมีหมู่บ้านตั้งอยู่ใกล้ ๆ ก็เอาไปเป็นชื่อหมู่บ้าน เดาอย่างนี้น่าจะใกล้เคียง 
..........บ้านนาดอกไม้ ชื่อเพราะดี แต่นึกหาเหตุผลยากเหมือนกัน ทุ่งนาที่มีดอกไม้ มันดอกอะไร ที่เกิด อยู่ตามทุ่งนา เคยเห็นดอกเพิงสีเหลืองอร่ามเต็มทุ่งนาทางกาฬสินธุ์ แถบนี้ไม่เคยเห็น แม่บ้านเป็น ครูสอนอยู่โรงเรียนบ้านนาดอกไม้หลายปี ถามเขาก็ตอบไม่ได้ ดูไปน่าจะเป็นพวกดอกหญ้า หรือดอก ไม้ป่า มีหญ้าชนิดหนึ่งที่ชอบเกิดตามทุ่งนาเขาเรียก หญ้าขี้กลาก ขึ้นเป็นกลุ่ม ดอกสีเหลืองงามมาก เห็นอยู่แถวใกล้น้ำซมใกล้บ้านวังไห นาดอกไม้ก็น่าจะมี จนเขาเรียกหมู่บ้านนาดอกไม้ 
..........ทุ่งนากลายเป็นไร่อ้อยสองข้างทางก่อนนี้ชาวบ้านเขาพยายามทำนา แต่ที่ดอนน้ำไม่ค่อยจะขัง พอเขาเปลี่ยนมาปลูกอ้อยปรากฏอ้อยงามดีมาก ทราบว่าโรงงานน้ำตาลอยู่ใกล้เขาให้โควต้ารับซื้อให้ เลยนิยมปลูกกัน เขาเล่าว่ารายได้ดีกว่าปลูกข้าว ยินดีด้วยนะชาวบ้านนี่เห็นใจจริง ๆ เขาว่าอะไรดีก็พยายาม ทำกัน เห็นมาตั้งแต่ปลูกฝ้าย ปลูกข้าวโพด ลูกเดือย มันสำมปะหลัง มะขามหวาน แล้วมาลง ที่อ้อย รถเราวิ่งไปเรื่อย ๆ ครูนกคุ้นเคยแถวนี้ดี แผงลอยขายมะขาวหวานวันนี้ว่างเปล่า ไม่ใช่หน้ามันพ่อ ถ้าหน้ามะขามหวาน จะมีแผงลอยผุดยาวเหยียด มีหลากหลายชนิด คนชอบแวะซื้อหากัน 
.........ใกล้ขึ้นเนินเขา ตันมะม่วงป่ายังอยู่ข้างทาง เคยพาญาติโยมมาเก็บหินที่เขาระเบิดทำถนนสายนี้ เมื่อปี 2514-2515 หลวงพ่อเจ้าคุณ พระวีรมุนี เจ้าคณะจังหวัดเลย ขอจากพวกแขวงการทาง จะเอาหิน ก้อนเล็ก ๆ ไปวางรอบโบสถ์ เวลาเวียนเทียนใช้ปักธูปเทียน ไม่เปื้อนระเบียง แขวงการทางก็ใจดีนะ จัดรถกระบะช่วยบรรทุกไปส่งที่วัด มากัน 2 วัน ก็พอ โบสถ์วัดศรีบุญเรืองบ้านติ้ว จึงมีก้อนหินรายรอบ ไปจากที่นี่เอง 
.........เข้าเขตหมู่บ้านเอราวัณที่เป็นที่ตั้งอำเภอเอราวัณไปแล้ว สถานที่ราชการใช้ชื่อเอราวัณมีหลาย 
แห่ง โรงพยาบาลเอราวัณ ที่ว่าการอำเภอเอราวัณ สถานีตำรวจอำเภอเอราวัณ โรงเรียนประถมก็โรงเรียนบ้านเอราวัณ มีแปลกอยู่แห่งเดียว ชื่อ โรงเรียนผาอินทร์แปลงวิทยา เป็นโรงเรียนมัธยม ครูนกสอนอยู่นี่หลายปีเลย ถามว่าทำไม เห็นส่ายหน้าบอกว่าไม่รู้ หมู่บ้านนี้เป็นหมู่บ้านตั้งใหม่ แต่เจริญไวมาก ศรษฐกิจดี ตอน ตั้งชื่อหมู่บ้านก็เอาชื่อถ้ำเอราวัณมาใช้ พอมีการปักปันเขตชัด ๆ ปรากฏว่าถ้ำอยู่ในเขตอำเภอนากลาง หมู่บ้านอยู่ในเขต ตำบลผาอินทร์แปลง อำเภอวังสะพุง จังหวัดเลย ตอนขอจัดตั้งโรงเรียนมัธยม อยาก ให้เป็นโรงเรียนประจำตำบล เลยใช้ชื่อผาอินทร์แปลงวิทยา แต่ตั้งอยู่ที่หมู่บ้านเอราวัณ ต่อมาเขาแบ่ง เขตตำบลผาอินทร์แปลง มีตำบลเอราวัณ อยู่ทางบ้านวังม่วง ทางโน้นเขาได้โรงเรียนมัธยมประจำตำบลจึงใช้ชื่อเอราวัณวิทยาคม แถมเวลาต่อมาพัฒนาแยกเขตนี้เป็นอำเภอเอราวัณ คนก็เลยแปลกใจ 
โรงเรียนผาอินทร์แปลงวิทยา ที่อยู่หมู่บ้านเอราวัณ เวลาครูเขียนขอย้าย มักขอลงเอราวัณวิทยาคมประจำ นอกจากคนรู้จักจริง ๆ
.........ออกนอกเขตหมู่บ้านเอราวัณเข้าเขตอำเภอนากลางจังหวัดหนองบัวลำภู ตอนนี้แบ่งเขตใหม่ เป็นอำเภอนาวัง ติดกับอำเภอนางกลาง ถนนสาย เลย-อุดรผ่านทั้งสองอำเภอ มีเรื่องแปลก ๆให้เล่า ถึง ผ่านมา ตัวอำเภอนาวัง ตั้งอยู่หมู่บ้าน นากลาง ที่เมื่อก่อนเขาตั้งชื่ออำเภอตามชื่อตำบลที่เจริญมาก กว่าตำบลอื่น ๆ จึงเป็นอำเภอนากลาง แต่มีปัญหาการจัดหาสถานที่ก่อสร้างสถานที่ราชการ ไปได้ที่ หมู่บ้านหนองบัวคำแสน บ้านเมืองเจริญขึ้นเขาแบ่งเขตอำเภอนางกลางออกเป็นสองอำเภอคืออำเภอ นางกลางและอำเภอนาวัง หมูบ้านบ้านนางกลางกลับเปลี่ยนมาอยู่เขต อำเภอนาวัง แต่ชื่ออำเภอนากลางไปอยูทางหนองบัวคำแสน เคยถามครูเขาว่าทำไมเรียกอำเภอนาวัง เขาบอกมีภูเขา 2 ลูกที่เป็นเอกลักษณ์ของท้องถิ่นชื่อ ผาเจาะ ผาวัง ผาเจาะอยู่บ้านเทพคีรี ผาวังอยู่ บ้านวังทอง คงหาชื่อที่เป็นเอกลักษณ์ท้องถิ่น เลยได้ชื่ออำเภอนาวัง นา คงมาจากชื่อบ้านนากลาง วังคงเป็นชื่อผาวัง ประกอบกับหมู่บ้านแถบนี้มีคำว่านานำหน้าชื่อหลายหมู่บ้าน ใช้ชื่ออำเภอนาวัง จึงเป็นชื่อที่เหมาะสมดี 
.........ผ่านเข้าเขตอำเภอนากลาง แต่อย่าถามหาบ้านนากลางอยู่ตรงไหน เพราะผ่านมาแล้ว หน่วยงาน ราชการอำเภอนี้ตั้งอยู่หมู่บ้านหนองบัวคำแสน เดิมทีเขาอยากได้ที่แถวหมู่บ้านกกค้อกกโพธิ์ แต่เมื่อหา ไม่ได้จึงมาลงบ้านหนองบัวคำแสน เจริญทันตาเห็นทั้ง ที่ว่าการอำเภอ สถานีตำรวจโรงพยาบาล โรงเรียนมัธยมประจำอำเภอนางกลาง ชื่อโรงเรียนคำแสนวิทยาสรรค์ แต่ตั้งอยู่ที่หมู่บ้านกกโพธิ์ ถามว่า ทำไม เหตุผลก็คือตอนแรกเขาตั้งเป็นโรงเรียนมัธยมประจำตำบลหนองบัวคำแสน ชื่ออำเภอนากลางได้มา ทีหลัง คงไม่มีใครคิดเปลี่ยนชื่อเป็น นากลางวิทยาคมหรอกนะ เอาไว้เหมือนเดิมแหละแปลกดี .........บ้านเทพคีรี ที่มีผาสวยงาม ยังกะเจดีย์ปราสาทสมัยขอม หน้าผาเป็นช่องถ้ำขนาดใหญ่ ดูคล้าย หน้าผาถูกเจาะ ที่จริงถูกน้ำฝนเจาะให้ เลยได้ภาพสวยงาม เป็นถ้ำค้างคาว ชาวบ้านไปหาเอาขี้ค้างคาว ทำดินประสิวสำหรับทำดินปืน ทำดินขับบั้งไฟ ใช้ขี้ค้างคาว แต่เดียวนี้เขารู้ว่าทำปุยดีมาก ๆ เลยผันเอา ไปใส่ต้นไม้กัน ปุ๋ยขี้ค้างคาวขายดีมาก บ้านเทพคีรี นึกถึงสมัยปี 2512 บวชพรรษาที่ 2 อยากเป็นนัก เทศน์มาเรียนเทศน์ปุจฉาวิสัชชนาที่หมู่บ้านนี้ สาธุพระอาจารย์สุทน กันตสีโล ท่านสอนหลักการเทศน์ ให้ส่วนจะเก่งไม่เก่งขึ้นอยู่กับวิชาความรู้ ไปศึกษาหาเอาเอง นักเทศน์ต้องเรียนรู้รอบตัว หลักธรรมของ ศาสนา หลักประเพณีพื้นบ้าน ประเพณีวัฒนธรรมแบบพราหมณ์ที่คนไทยใช้กันมาก โหราศาสตร์ ชาว บ้านอยากรู้ ภาษาวัฒนธรรมอีสาน เยอะจริง ๆ ก็ใช้แนวทางที่ท่านแนะนำ เวลาไปแสดงธรรมก็นึกถึงท่าน  เสมอ 
..........หนองบัวลำภู ตามตำนานเล่าขานว่าพระเจ้าไชยเชษฐากรุงเวียงจันทร์ สร้างเป็นเมืองหน้าด่าน ของเวียงจันทร์เมื่อปี 2106 หลังสร้างเวียงจันทร์ 3 ปี ปรากฏชื่อว่า"เวียงจำปานครกาบแก้วบัวบาน"แต่ คนทั่วไปเรียก "หนองบัวลุ่มภู" ต่อมาคงเพี้ยนมาเป็นหนองบัวลำภู จัดเป็นเมืองที่มีตำนานทางประวัติ ศาสตร์น่าสนใจเมืองหนึ่ง ตอนนี้ก็ยกฐานะเป็นจังหวัด พร้อมกับสระแก้วและอำนาจเจริญ เมื่อปี 2536 บ้านเมืองพัฒนาเร็วมาก ที่ชอบมากคือถนนเลี่ยงเมือง สร้างไว้สะดวกสบายมาก เชื่อว่าอีกไม่นานจะเป็น 
เมืองสำคัญไม่น้อยเพราะสามารถเชื่อมต่อไปขอนแก่นก็สะดวก ไปทางเหนือก็สะดวก จะไปลาวก็ไม่ ไกล ประมาณ 150 กิโลเมตร พวกเราอ้อมไปตามถนนบายพาส ไม่เข้าเมืองกลัวรถติด 
..........ผ่านบ้างวังหมื่นมีทางแยกไปอำเภอศรีบุญเรืองและแยกไปอำเภอโนนสัง ทางศรีบุญเรือง ถนนไม่ค่อยดี แต่ทิวทรรศน์สวยงามวิ่งเลียบเขื่อนอุบลรัตน์ไป ที่บ้านท่าลาดจะมีสะพานปลาน้ำจืด ราคา ไม่แพงให้เลือกซื้อกัน เราเลือกไปทางอำเภอโนนสัง ถนนลาดยางสภาพดี เพราะปรับปรุงไม่นาน ผ่านหมู่บ้านวังน้ำขาวที่คาใจเรื่องชื่อมานาน นึกไม่ออกถามเพื่อนคนแถวนี้ก็บอกไม่ทราบว่าทำไมเรียก วังน้ำขาว วังหมายถึงแอ่งน้ำในลำห้วยหนอง แถวนี้ก็มีลำพะเนียง แล้วทำไมน้ำขาว ปกติน้ำไม่ใสก็ขุ่น แต่นี่น้ำขาวเพราะอะไร คงไม่ใช่น้ำสาโทนะ เพราะชาวบ้านเขาเรียกน้ำสาโทว่าน้ำขาว ใครรู้ตำตอบฝาก เฉลยให้ด้วยแล้วกัน 
........บ้านธาตุ ชื่อเต็มว่า ธาตุหาญเทาว์ เคยเข้าไปวัดเห็นเจดีย์เก่าแก่ขนาดใหญ่ ชาวบ้านเรียกเจดีย์ ว่าธาตุ สงสัยชื่อหมู่บ้านน่าจะเกี่ยวข้องกับเจดีย์เก่าแกองค์นี้ เจดีย์ปกติใช้เก็บกระดูกคนที่เคารพนักถือ หรือไม่ก็เก็บสิ่งของสำคัญ ยกมือไหว้แสดงความเคารพก่อนแล้วกัน ถัดมาก็เป็นหมู่บ้านอยู่ติดกัน ชื่อ .บ้านขามต้นมะขามเยอะสมชื่อจริง ๆ มองไปทางไหนเจอแต่ต้นมะขาม ก็ดีนะร่มรื่นด้วย กินได้ด้วย ทั้งยอดอ่อน ฝักดิบ ฝักแก่ รสเปรี้ยวสะใจ จิ้มเกลือก็ได้ ใส่ต้มแกงดูดีไปหมด เดี๋ยวนี้เขาแกะเปลือกออก เอาเนื้อไปขายเป็นมะขามเปียกราคาแพงด้วย ถัดมาเป็นบ้านหิน คงจะมีก้อนหินที่เป็นเอกลักษณ์ของ หมู่บ้าน ผ่านมาก็พยายามมองหาแต่ยังไม่เห็น สงสัยต้องถามถึงจะรู้ อยู่ติด ๆ กันบ้านโนนคูณ อันนี้ เข้าใจง่ายตั้งชื่อตาม เนินที่มีต้นคูณขึ้นอยู่มาก เวลาออกดอกคงเหลืองอร่ามน่าชม ไม่ทราบยังรักษา ไว้อยู่ไหม แต่ชื่อชัดเจนว่าโนนก็คือเนิน ที่ คูณ คือเป็นมงคล ต้นคูณเป็นต้นไม้มงคลชื่อบ้านนี้ความดี 
........ผ่านหน้าโรงเรียนบ้านขามพิทยาคม เคยแวะเยี่ยมเพราะเพื่อนสมัยเรียนโรงเรียนโนนสังวิทยา เป็นผู้อำนวยการอยู่ที่นี่ โรงเรียนพัฒนาไวเหมือนกันสังเกตอาคารสถานที่สวยงาม นักเรียนเพิ่มขึ้นทุกปี ผ่านมานิดหนึ่งทางโค้งไม่รับรถ มี 2 จุด ห่างกันหนึ่งกิโลเมตร คนไม่เคยทางแถออกนอกถนนบ่อย ถ้ามาเร็ว ซัก 80 ก็ลงไหล่ถนนไปเลย ยังไม่แก้ไข คราวหนึ่งมากลางคืนสักทุ่มเศษ เจอฝูงแมงปอมาแบบมองไม่เห็นทาง แตะตรงไหนยังกะมันติดกาว เต็มกระจกหน้ารถ ต้องจอดลงไปหาน้ำล้างกระจก ไม่รู้มันมาจากไหน ไม่ ใกล้เขื่อนซักหน่อย สงสัยมีหนองหรือบึงอยู่แถวนี้ เพราะแมงปอชอบออกไข่ในน้ำตามตอไม้ผุ ๆ กลาง คืนตัวโตออกบินไปทั่ว ไข่เป็นกาวอย่างดี แตะไหนติดหนึบที่นั่น เคยจับเอาไปทำเหยื่อตกปลาหมอช้างเหยียบ กินดีมาก ถัดมาเป็นโรงเรียนบ้านนาดีที่เขาตัดถนนผ่ากลางโรงเรียน ไม่รู้คิดได้อย่างไร อาคาร เรียนอยู่ฝั่งหนึ่ง สนามกีฬาอยู่อีกฝั่ง ถนนหลวงผ่ากลาง 
.......บ้านข้องโป้ 2 กม. แสดงว่าแวะเข้าไป 2 กิโลเมตรถึงหมู่บ้าน พี่ชายคนหนึ่งญาติกันแกมีครอบครัว อยู่ที่นี่ ไม่ได้เจอกันนานมากแล้ว ข้องหมายถึง ตะข้อง ขังปลา โป้ หมายถึงมันใหญ่ ทุกบ้านจะมีตะข้อง 
ขาดใหญ่ เพราะไร่นาติดลำน้ำพะเนียง ปลาชุมมาก ตะข้องต้องสานขนาดใหญ่ ๆ ผืนนาดินอุดมสมบูรณ์ 
ใคร ๆ ก็อยากอพยพมาอยู่ มาไม่ได้เป็นเขยก็ยังดี คิดการณ์ไกลขนาดนั้น พวกเราไม่แวะบ้านข้องโป้ ผ่าน มาเป็นบ้านนามะเฟือง หมู่บ้านแถบนี้อยู่ติดลำน้ำพะเนียง ที่น้ำดี ปลาชุม นาก็งาม แต่นากับมะเฟืองนี่ มันเกี่ยวอะไรกันยังไม่เข้าใจ ฝากไว้ก่อน มีเวลาจะลองหาคำตอบดู 
.......บ้านหนองศาลา มีหนองน้ำขนาดใหญ่อยู่ใกล้ทางผ่าน มีคนสร้างศาลาริมหนองน้ำได้พัก เหนื่อยสำหรับ คนสัญจรไปมา ก่อนโน้น เดินกันนี่ครับ หรือไม่ก็ขี่ม้า นานเข้ากลายเป็นหมู่บ้าน เลยเรียกบ้านหนองศาลา สมัยพี่ชายมาตอกแป้น (2499)ที่ตีนเขา ห่างหมู่บ้านซัก 5 กิโลเมตร เป็นดงไม้พลวง ไม้ชาด 
หมู่บ้านเล็ก ๆ 20 กว่าหลังคาเรือน เขามาตั้งแคมป์กันอยู่แรมเดือน ตัดไม้พลวงไม้ชาดลงมาทีละต้น ทอนเป็นท่อนสั้น ๆ ซัก 45 - 50 เซนติเมตร ใช้มีดขนาดใหญ่ ทำจากเหล็กแหนบ ใช้ค้อนปอนด์ตีให้มีด ผ่าผิวไม้ออกเป็นเหลี่ยม 5 เหลี่ยมบ้าง หกเหลี่ยนบ้างแล้วแต่ขนาด จากนั้นก็ผ่าให้ได้แผ่นบาง ๆ หนา ซัก 1-1.5 เซนติเมตร ได้แล้วก็ใช้มีดคม ๆ ถากส่วนที่เป็นเสี้ยนออกเจียนปลายให้แหลม จะนำไปใช้มุง หลังคา เอาไปตากให้แห้ง กองรวมไว้ ได้คนละหลายพัน ก็จ้างเกวียนขนไปส่งบ้านหนองลุมพุก บ้านก็มี หลังคามุงแป้นกัน เดี๋ยวนี้คงทำไม่ได้แล้ว ไม้หายาก 
.......บ้านโสกก้านเหลือง ชื่อเพราะดี โสกเป็นคำภาษาถิ่น หมายถึงร่องน้ำไหลเซาะผ่านไป นานเข้าก็ ทางน้ำไหลเล็ก ๆที่เรียกธารน้ำ ลำห้วย แม่น้ำลำคลองตามขนาด โสกคือจุดเริ่มต้นทางน้ำไหล ส้วนคำ ก้านเหลืองเป็นชื่อต้นไม้ ดอกสวยยังกะรูปพระอาทิตย์สีเหลืองดงามมาก บ้านนี้เป็นทางแยกไปดูแหล่ง วัฒนธรรมโบราณที่บ้านถิ่น ไม่ถึงสิบกิโลเมตร 
........บ้านหินสิ่ว น่าสนใจที่ชื่อ หินเข้าใจว่าคือก้อนหิน แล้วมันเกี่ยวกับสิ่วตรงไหน เอาไว้ลับคมสิ่วใช่ไหม  เปล่าเลย สิ่วเป็นภาษาถิ่น หมายถึงสีสิ่ว สีเขียวเข้มแบบเขียวหัวเป็ด ประมาณนั้น แสดงว่าหินก้อนนั้น เขียวปัดจนชาวบ้านเรียกหินสิ่ว ผ่านไปเป็นบ้านกุดดู่ หมู่บ้านใหญ่ สมัยบวชเดินทางมาประชุมแทนเจ้า อาวาสที่วัดบ้านนี้ เพราะเจ้าคณะอำเภอท่านอยู่ที่นี่ หลวงพ่อแกชอบทำอะไรต้องยิ่งใหญ่ไว้ก่อน บั้งไฟ หมื่นเล็กไป แกทำต้องบั้งไฟแสน แตกตื่นมาดูกันจนล้นหลาม ผลปรากฏว่ามันแตก ไม่ขึ้น แกบอกแตก ช่างมัน ปีต่อไปทำใหม่ ช่วงที่บวชอยู่จังหวัดเลย แกไปเยี่ยมหลวงพ่อเจ้าคณะจังหวัด เอาต้นติ้วหรือแต้ว 
ไปให้ปลูก บ้านติ้วอะไรวะ ไม่มีต้นติ้วซักต้น และยังหาโปงยักษ์ไปถวายทานให้ ก็ลูกแขวนอยู่หน้าโบสถ์ 
นั่นแหละ จ้างรถลากจากบ้านกุดดู่ไปจังหวัดเลย ผมไม่ได้รายงานตัวให้ท่านทราบหรอกว่ารู้จักท่าน ก็แค่ 
ต้อนรับขับสู้และดูแลท่านเป็นอย่างดีก็พอแล้ว 
.........บ้านหัวขัว ถามเด็กทุกวันนี้ว่ามันคืออะไร ปรากฏว่าไม่ค่อยรู้จัก บ้านหัวขัวก็คือบ้านหัวสะพาน เดิมเป็นสะพานไม้ข้ามลำห้วยก่อนเข้าหมู่บ้าน เลยได้ชื่อบ้านหัวขัว ถัดมาเป็นบ้านโสกจาน โสกก็คือทาง น้ำไหลลงจากเนินดินดังที่เคยพูดถึงแล้ว นานไปจะกลายเป็นธารน้ำ ลำห้วย มีต้นจานหรือทองกวาวขึ้นมากมาย หน้าออกดอก สีแดงเต็มท้องทุ่ง เขาเรียกโสกต้นจาน พอตั้งบ้านเลยเอามาเป็นชื่อบ้านโสกจาน ก็เข้าท่าดี 
……….จะไปทานข้าวเที่ยงที่เชิงเขาภูพานคำรอยต่อระหว่างอำเภอเขื่อนอุบลรัตน์กับอำเภอโนนสัง มีแผงลอยขายอาหารประเภทส้มตำ ปลาเผาอยู่หลายร้าน ขับรถผ่านมาแวะกินบ่อย เพราะไม่แพง และรสอร่อยแบบอาหารอีสาน เราแวะร้านหนึ่งสั่งส้มตำ ต้มยำปลากด และปลาย่าง สองคนคงกินหมด ส้มตำอร่อยไม่ผิดหวัง ปลาย่างเป็นปลาหมอ หากินยากตัวโตด้วย เขาบอกตัวละครึ่งกิโลไข่เต็มท้อง แค่ส้มตำปลาย่างก็จุกแล้ว พอต้มยำปลากดมาแทบไม่อยากมอง กินไม่กี่คำก็ต้องหยุด อิ่มเกินแล้ว จากนั้นก็หาปลาย่างไปฝากป้า เคยเอาปลาสด ๆ ไปฝาก ต้องไปนั่งทำให้อีกเสียเวลา เอาแบบสุก ๆกิน ได้เลยดีกว่า ได้ของกินแล้วก็ย้อนกลับมาทางอำเภอโนนสัง 
.........ผ่านวัดทุ่งสว่างก่อนเข้าเขตเทศบาลตำบลโนนสังเป็นวัดธรรมยุติ เคยมาเป็นศิษย์วัดตอนเรียน ม.1 ส่วน ม.2 ย้ายไปอยู่วัดบ้านโนนสงเปือย วัดมหานิกายได้ 2 เทอม เทอมสุดท้ายชวนกันเดินเท้า จากบ้านมาเรียนทาง 5 กิโลเมตร ประสบการณ์ได้จากการเป็นเด็กวัด มากมาย เพราะต้องตื่นก่อนพระ เณร ทำความสะอาดกุฎิวิหาร ลานวัด จัดศาลาฉัน ทานอาหารที่เหลือจากพระท่านฉัน น้ำใจแม่ออกที่ เก็บข้าว และอาหารไว้ให้เด็กวัด เลยขยันขันแข็งไม่เกเร ไม่รังเกียจการล้างถ้วยล้างจาน บทเรียนที่ดี มาก ๆ รถเราผ่านเข้าโนนสังเมืองที่อยู่ต่ำกว่าระดับน้ำเขื่อนอุบลรัตน์ ช่วงเขาเก็บกักน้ำได้เต็มที่ ระดับน้ำจะท่วมที่ว่าการอำเภอ ท่วมสถานีตำรวจ ท่วมวัดในอำเภอ ท่วมถึงตลาด เห็นว่าสำรวจแล้วค่าเสียหายมากกว่า สร้างเขื่อนดินกั้นน้ำมิให้ไหลเข้าท่วมเมือง เลยกลายเป็นที่ขับรถชมน้ำเขื่อน หน้าฝนเขามีเครื่องสูบน้ำช่วย เพราะเปิดช่องระบายน้ำไม่ได้ ก็แปลกดี รถเราผ่านเข้าไปในเมือง สภาพบ้านเมืองยังคล้าย ๆ เดิม เปลี่ยนไปไม่มาก ครู่เดียวก็ออกนอกเมืองผ่านหน้าโรงเรียนโนนสังวิทยาคาร โรงพยาบาลโนนสัง .........ผ่านบ้านฝายหินนึงถึงความหลัง ช่วงเดินทางไปโรงเรียนแบบเช้าไปเย็นกลับ มีสองเส้นทาง ถ้ามาทางบ้านฝายหิน 7 กิโลเมตร มีคนเดินถนนไม่ขาดไม่น่ากลัว ถ้าตัดตรงผ่านทุ่งป่าป่าละเมาะไป 5 กิโลเมตร ไม่ค่อยมีคนใช้ค่อนข้างเปลี่ยว วันไหนมาทางบ้านฝายหินจุดพักทานข้าวเช้าก็เลยหมู่บ้าน มานิดหน่อยเป็นฝายดินเล็ก ๆ หน้าแล้งไม่มีน้ำ เขาขุดบ่อน้ำสะอาดดี เพราะในลำห้วยมีแต่ก้อนหิน ชาวบ้านนิยมมาตักไปใช้ดื่ม พวกเราก็อาศัยพักทานข้าวดื่มน้ำตรงนี้ด้วย เสร็จค่อยเดินต่ออีก 1.5 กิโลเมตร ก็ถึงโรงเรียน 
.........เลยบ้านฝายหินมาสองกิโลเมตรเป็นทางแยกเข้าหมู่บ้านหนองกุงคำไฮ มีเพื่อนสองคนจากหมู่ บ้านนี้ไปเรียน ม.1-3 พร้อมกัน แถมไปเรียน ม4-6 ที่ชัยภูมิก็ไปด้วยกันอีก เขาเรียนตามเกณฑ์อายุ จบ ม. 6 เพื่อนไปสอบข้าราชการได้ทั้งสองคน เราเพิ่งขึ้นทะเบียนทหารกองเกิน ย่างสิบจ็ดปี เลยไปนิดหนึ่ง เป็นโรงเรียนประถมศึกษา หมู่บ้านหนองลุมพุกส่งเด็กมาเรียนด้วย เราไม่ได้เรียนหรอกเพราะจบ ป. 4 มาจากกมลาไสยแล้ว สภาพโรงเรียนสมัยโน้นยังจำติดตา มีแต่เสาและหลังคามุงแฝก ฝาใช้ตับตองกุง ที่เขาเรียก ฝาแขบตอง ปีเดียวก็ขาดหมดแล้วฝีมือเด็ก ๆ นั่นแหละ จะซ่อมต้องขอแรงชาวบ้าน ยากเอาการ กว่าจะมาทำให้ วันไหนฝนตกไม่เป็นอันเรียน วิ่งหลบฝนกัน 
.......เลี้ยวซ้าย 1.5 กิโลเมตร ถึงหน้าโรงเรียนบ้านหนองลุมพุก ตอนนี้แยกมาสร้างให้แล้ว ไม่ต้องเดิน ไกล เคยนำคอมพิวเตอร์มามอบให้ 1 ชุด เครื่องฉายโอเวอร์เฮด 1 ชุด ไม่ได้ถามไปถึงไหน ช่วงนั้น ไม่มีโรงเรียนไหนมีอุปกรณ์แบบนี้หรอก เห็นว่า อำเภอมาขอยืมไปให้ศึกษานิเทศก์ใช้ ก็ตามสบาย ไม่ หวงแล้ว เพราะเอามามอบให้ ก็จบ 
.......ถึงบ้านก็สภาพเดิม ๆ ทางเข้าบ้านมีแต่ขี้โคลน เพราะวัวควายก็เดินเข้าออกด้วย สองสามวันมานี่ ฝนตกชุก เลยเป็นโคลน รถแทบจะติด แต่ก็ค่อย ๆ คลานเข้าไปถึงบ้าน ได้ไปไหว้พี่สาว อายุน่าจะเก้าสิบ แล้ว หูไม่ค่อยได้ยิน ตาก็ฝ้าฟาง แต่ยังคุยกันรู้เรื่องอยู่ เอาของฝากมอบให้แล้วนั่งดูแกกินไข่ปลา บอก 
ว่าชอบไม่มีก้าง ปลาตะเพียนสองตัวไข่เต็มท้อง แกกินคนเดียว ลูกหลานแบ่งให้ต่างหาก เห็นพี่สาว กินได้ก็ยินดีนะ พี่คนนี้แกเลี้ยงดูผมเหมือนลูก เพราะลูกสาวแกเกิดหลังผมปีเดียว เลยได้เลี้ยงเด็กน้อย ชายหญิง แม่ไปนาไปสวนพี่สาวก็ต้องรับเลี้ยง ก็เลยผูกพันกันมากกว่าคนอื่น ๆ มีโอกาสก็แวะมาเยี่ยม เสมอ มาทำบังสุกุลเป็นให้แก่ เสื้อผ้าอาหารเงินทอง ใส่มือให้เลย บอกแกตรง ๆด้วยว่านี่มาทำบุญนะ เป็นบังสุกุลแบบตัวเป็น ๆ ไม่ต้องรอตายก่อนถึงทำบุญให้ ไม่เห็นแกโกรธ ชอบใจอีกต่างหาก แกบอกว่า มึงมาบังสุกุลบ่อย ๆซิ ของกินเยอะดี แล้วแกก็ให้ศีลให้พรตามประสา จวนค่ำก็ลากลับ เพราะระยะทาง 150 กิโลเมตร ไกลเหมือนกัน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น