วันศุกร์ที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2559

ไลน์เจ็ดวัน


ไลน์เปิ้ล 7 วัน

------------

@ จันทร์ใสใจส่องแจ้ง..............แจ่มใจ
เจตน์จ่อพรสดใส.......................ส่งพร้อม
ขอบคุณยิ่งทรามวัย.....................งามแจ่ม ใจแฮ
เธอส่งพรโอบอ้อม......................อ่อนเอื้ออวยพร
@ ทุกพรพึงตอบให้...................คืนสนอง
ลาภยศรวยเงินทอง.....................หลั่งเต้า
โชคชัยเกียรติเรืองรอง.................งามผ่อง แลนา
ชนชื่นชมบุญเจ้า........................แซ่ซร้องบารมี

@ อังคารใสสดแจ้ง.............พรมา
ดียิ่งความเมตตา..................ส่งให้
ขอบคุณที่กรุณา..................ใจส่ง ถึงแฮ
ขอส่งพรตอบไซร้.................เทพไท้อวยสนอง
@อายุวรรณสุขพร้อม...........พลังเสนอ
พรหมช่วยอวยน้องเธอ..........ชื่อเปิ้ล
สุมสมอยู่เสมอ...................โศกสร่าง แลนา
โชคลาภยศเทพเอิ้น.............ส่งให้นวลเสมอ

@..วันพุธสวัสดิ์สร้าง.............ส่งพร
สดชื่นเบิกบานวอน...............เทพเกื้อ
สำราญยิ่งทุกข์ถอน................ใจสุข บานแฮ
พึงร่ำรวยทรัพย์เอื้อ.................หลั่งเข้าเงินทอง
@..มีชัยมีโชคล้วน.................พลังบุญ
ดีก่อเกิดกรรมหนุน...................สุขให้
ขอบใจที่เจือจุน......................พรส่ง แลนา
ทุกสิ่งคืนสนองไช้...................แก่เปิ้ลทวีคูณ

@ สุขสันต์พฤหัสเช้า................พรมี
พอตื่นพบหวังดี.......................ส่งให้
มอบพลังช่วยเสริมศรี................สุดสง่า แลนา
ขอส่งงามจงได้.......................ครบถ้วนอวยพร
@ ขอบคุณหนูชื่อเปิ้ล..............ใจงาม
ขยันส่งพรต่อตาม....................ทุกเช้า
ขอเทพท่านในสาม..................โลกทราบ แลนา
วอนส่งพรให้เจ้า......................ตอบให้คืนสนอง
@ หวังลาภรวยลาภได้..............เงินทอง
หวังรักรักสมปอง......................เสร็จพร้อม
หวังโชคช่วยสนอง....................ทวยเทพ อวยนา
หวังสุขสบสุขน้อม.....................ส่งให้นวลเกษม

@ ตื่นตาวันศุกร์แล้ว............สวัสดี
เห็นว่าสดใสมี....................สุขแล้ว
ถึงวันหยุดอีกที...................วันพรุ่ง แลนา
คอยนั่งนับน้องแก้ว...............อยากได้วันเสาร์
@ วันวารมิหยุดได้..............ดอกนวล
มันเปลี่ยนเวียนกระบวน..........เช่นนี้
คนคิดว่าหยุดชวน................ชมชื่น ใจแฮ
วันบ่หยุดเลยชี้....................แน่แท้ลับไป
@ความดีสมสั่งสร้าง............งดงาม
ดีบ่เลือกโมงยาม..................เสกไว้
ทุกวันว่าดีตาม....................เติมต่อ ดีนา
ควรค่าเราควรได้..................แต่ล้วนความดี

@..สวัสดีมีสุขเช้า.................วันเสาร์
สุขเช่นกันนงเยาว์...................ส่งให้
เทพพรหมช่วยบรรเทา.............ทุกข์โศก
พบแต่สุขชื่นได้......................แต่เช้าตลอดไป
@..ทำการสะดวกได้...............เสร็จสม
งานยุ่งสะสางปม....................ออกล้วน
การหนักค่อยเบาชม................ชวนชื่น ดีแฮ
ภารกิจถี่ถ้วน.........................เสร็จได้ดังประสงค์

@ สุขสันต์อาทิตย์เช้า........ชื่นชม
สาวส่งพรเพียงพรหม............เสกให้
ขอบคุณส่งสุขสม................ควรยิ่ง
วันหยุดคงสุขได้..................อยากได้หลายวัน
@ ชีวิตมีสุขได้..................ทำดี
ทำพูดเสกสรรค์มี................แต่เกื้อ
ละโลภห่างโทสหนี...............หลงห่าง แลนา
สันต์สุขจักอวยเอื้อ................สุขแท้นิรันดร

วันพุธที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

บ้านของเรา 




บ้านของเรา

......ผมอาศัยอยู่บ้านเลขที่ 28/68 ถนนศรีโสธรตัดใหม่ อำเภอเมือง จังหวัดฉะเชิงเทราเจ้าของบ้านชื่อ น.ส. นิภา ณรงค์หนู ต่อมาปลี่ยนเป็น น.ส.อรภา ณรงค์หนู แล้วก็เปลี่ยนเป็น น.ส.ธนัญธร ณรงค์หนู รายชื่อในทะเบียนบ้านอีกคนหนึ่งชื่อน.ส.ชนารัตน์ ณรงค์หนู ต่อมาก็เปลี่ยนเป็น น.ส.เตชินี ณรงค์หนู และก็เปลี่ยนเป็นบุลธนี ณรงค์หนู 3 ชื่อแรกคือแม่ สามชื่อหลังคือลูกสาว รวมเป็นสองคน ไม่ใช่หก คน เขาชอบและเชื่อเรื่องโชค ชตา มงคล เลยหาชื่อที่มันดูดีหน่อย ส่วนกระผมไม่ได้มีชื่อในทะเบียนบ้านหรอกลูกสาวเขาขอยืมไปใช้เป็นเจ้าของบ้านที่จังหวัดเลย บ้านเลขที่ 62 ถนนมลิวัลย์ ตำบลกุดป่องอำเภอเมือง จังหวัดเลย

...............หัวหน้าครอบครัวปัจจุบันชื่อ น.ส. ธนัญธร ณรงค์หนู เพิ่งเกษียณเมื่อปี 2549 ถึงปีนี้ก็ครบ 10 ปีพอดี ผมสู่ขอเขากับคุณยายบุญเติม ณรงค์หนู แล้วก็จัดเลี้ยงขอบคุณเล็ก ๆให้ญาติพี่น้องเพื่อนฝูง จัดแบบง่าย ๆ แต่ก็อยู่กันมาสิบกว่าปีแล้ว ไม่มีลูกด้วยกัน แต่ผมชอบเรียกเขาว่า คุณยาย เพราะมันบอกให้รู้ว่าเป็นผู้ใหญ่แล้ว ดีกว่าจะไปเรียกหนูนั่นหนูนี่ เดี๋ยวเกิดเขาคิดว่าเป็นหนูจริง ๆ ยุ่งตายห่าละซิ คุณยายแกจบพยาบาลศาสตร์ จากวิทยาลัยพยาบาลจันทบุรีเลยทำงานเป็นพยาบาลอยู่ที่โรงพยาบาลประจำจังหวัดฉะเชิงเทราจนเกษียณ คุณยายเป็นคนมีน้ำใจ เพื่อนฝูงพี่น้องรักใคร่ สังเกตตอนมาติดต่อโรงพยาบาลมีคนทักตลอดทาง เห็นแกทักทายไปเรื่อย กว่าจะถึงจุดหมายแวะหลายจุดยังกะรถเมล์

.............คุณยายมีบุตรบุญธรรม 1 คน ก็มี 3 ชื่อเหมือนกัน สุดท้ายก็ชื่อบุลธนี ณรงค์หนู เขาจบปริญญาตรี เอกวิทย์คอมจาก ม.รังสิต ทำงานสาขาที่เรียนมานั่นแหละ ที่ทำงานอยู่แถวสุวินทวงศ์ แม่ออกรถเก๋งน้อยให้คันหนึ่งขับไปทำงานสัปดาห์ละ 6 วัน หยุดให้วันอาทิตย์วันเดียว

..............นางชาน แม่บ้านชาวพม่า อยู่กันมาตั้งแต่เป็นสาว ตอนนี้มีลูกชาย 1 คน สามีเป็นคนทางบ้านเดียวกัน ทำงานรับจ้างกับบริษัทก่อสร้าง ชานเป็นคนที่ยายรักใคร่เหมือนลูกสาว ใช้งานไม่หนักอะไร มีเวลาพักผ่อนมาก ไปนอกบ้านก็พาไปด้วย มีลูกก็ช่วยเลี้ยงเหมือนหลาน เลยอยู่กันแบบคนในครอบครัว บ้านพักเขาอยู่ใกล้บ้านเรามอง เห็นประตูบ้านเขาอยู่ ผมเรียกเขาอาชาน นิสัยเหมือนเด็ก ๆ สังเกตเวลาจะไปบ้านปกติเดินออกประตูหน้าบ้านแล้วเดินอ้อมไปสัก 150 เมตร ก็ถึง แต่อาชานมันถกผ้าถุงปีนข้ามกำแพงบ้านไป ไม่ถึง 20 เมตร ก็บ้านมัน ใกล้ดีมันบอก เคยด่ามันว่าระวังเหอะเดี๋ยวปีนพลาด ร่วงลงมาเอ็งจะได้เพิ่มหลายรู มันหัวเราะแหะ ๆ ไม่นานก็ปีนอีก เด็กจริง ๆ

.............เด็กชายกำปั้น ตอนท้องแม่่มันก็มาทำงานตามปกติ แพ้ท้องก็นอนพักให้ยายดูแลพาไปฝากท้อง จนกระทั่งคลอดเป็นเด็กชาย สองแม่ลูกตั้งชื่อให้ เด็กชายกำปั้น เราก็เตือนนะว่าชื่ออย่างนี้ โตขึ้นจะเป็นปมด้อย แต่เขาก็เอาจนได้ เด็กสมาธิสั้น ดื้อเหมือนกัน ดุก็หยุดเดี๋ยวเดียวก็ดื้ออีก พอโตขึ้นยายไปฝากเข้าเรียนที่โรงเรียนวัดโสธร เรียนหนังสือเก่งอ่านคล่อง แต่คิดเลขยังไม่เก่ง ตอนนี้เขาอยู่ ป.1 ได้รางวัลเรียนเก่ง เป็นทุนการศึกษาด้วย

.............สัตว์เลี้ยงเราเป็นหมา 6 ตัว เคยเขียนถึงบ่อย เพราะน่ารักทุกตัว แต่ละตัวก็นิสัยแตกต่างกัน คราวหนึ่งติดเห็บหมัด กว่าจะรู้ระบาดครบหกตัว น่ากลัวมาก สัตวแพทย์แนะนำให้ฉีดยา อาบน้ำทำความสะอาด หลายเดือนกว่าจะหมดไป เดี๋ยวนี้ต้องฉีดยาเดือนละเข็มค่อยหมดห่วง กรงก็ติดสปริงเกอร์สำหรับล้างทำความสะอาด และอาบน้ำให้ด้วย

..............พวกตัวใหญ่มี เจ้าบึ๊ก เจ้าบั๊ก นังซูการ์และนังซู่ซ่า ขังไว้ในกรงใหญ่ที่เรียกคอนโดหมานั่นแหละ ตอนเย็นปล่อยออกมาวิ่งทั้งคืน ตอนเช้าค่อยต้อนเข้ากรง วันหนึ่งสังเกตดูหายไปหนึ่งตัว เจอแต่ซูการ์ ซู่ซ่าและเจ้าบึ๊ก ปรากฏว่าเจ้าบั๊ก วิ่งเข้ากรงไปก่อนแล้ว ไม่นาน ก็หายหมด พอตามหาพบเดินอยู่หน้ากรง เราตามไปก็เข้ากรงเองโดยดี เดี๋ยวนี้มันพัฒนากันพอเราเปิดประตูบ้านจะลงไปต้อนเข้ากรง มันไปยืนรอหน้ากรงแล้ว เลยบอกยาย ให้เปิดหน้าต่างดูหมาเดินแถวเข้ากรงนะ เราก็เดินไปเปิดประตูบ้าน หมาได้ยินเสียง เดินอ้อมบ้านไปยินเสียงยายหัวเราะชอบใจ ลงไปเดินตามหมามันด้วย วันหลังคนต้อนหมาเข้ากรงเลยเป็นยาย ต่อไปจะหาธงแดงให้มันคาบนำแถวไป

.............ตัวเล็กคือ คุกกี้กับทาโร่ เป็นหมาคุณหนู ยายรักมาก มักจะมีของกินแถมให้บ่อย ๆพวกลูกชิ้น ไก่ย่าง ใส้กรอก พอตัวใหญ่เข้ากรงก็จะปล่อยตัวเล็กออกมาวิ่งบ้าง มันวิ่งมาหน้าประตูแล้วเห่าทัก แรก ๆก็ให้ขนมปัง จนมันรู้ว่า เห่าทีไรได้กินทุกที ยายออกมายืนหน้าประตูเรียกชื่อมัน หมามันก็เห่าดีใจ คล้ายจะบอกว่า อู้อู อู้อู แบบเด็กดีใจ ยายก็อุ้มซ้ายขวา เลยบอกยายว่ามันร้องขอขนมกิน ยายเชื่อหาขนมใหญ่เลย วันหลังจึงมีลูกชิ้น ไก่ย่าง ติดไว้ในครัว มันขยันเห่ามาก เพราะเห่าทีไรได้ของกินทุกที จนเป็นดาราประจำบ้านไปแล้ว

...........ก็เขียนถึงคนอื่นไปแล้ว ตัวเองจะไม่เขียนถึงก็คงไม่เป็นธรรม ตาเป็นคนบ้านนอกโดยกำเนิด ชอบชีวิตแบบชาวไร่ชาวนาแต่เส้นทางชีวิตมันผกผันให้ได้ไปอยู่ประจำที่โรงเรียนกินนอนที่เกษตรกรรมชัยภูมิ 3 ปี จากเด็กเกเรไม่เอาถ่าน กลายเป็นเด็กมีระเบียบวินัยขยันทำงานหนักเอาเบาสู้ ได้ทำนาช่วยพ่อแม่ 7 ปียิ่งแกร่งงานเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น ได้บวช7 พรรษาฝึกอบรมระเบียบวินัย ศีลธรรมจนมึความรู้ระดับสอนชาวบ้านได้ การศึกษาก็เรียนจบ นักธรรมเอก เปรียญ 4 ประโยค ปริญญาตรีเอกภาษาไทย ปริญญาโทเอกวิธีสอนภาษาไทยการศึกษาทุกอย่างเรียนเอาความรู้นะ ไม่ได้เรียนแค่เอาจบ ฝึกเขียนร้อยกรองจนเขียนได้คล่องพอ ๆ กับเขียนร้อยแก้ว เอ้อ...พอละจบดีกว่า เดี๋ยวคนอ่านจะลำบากอ๊วกซะก่อน

------------------------

30/11/59

ชีวิประวัติอย่างย่อ




................ข้าพเจ้า นายขุนทอง ศรีประจง เกิดเมื่อ วันที่ 1 มิถุนายน 2487 บิดา นายจำปา ศรีประจง มารดา นางจ้อน ศรีประจง เกิด ที่บ้านแก หมู่ที่ 16 ตำบลกมลาไสย อำเภอกมลาไสย จังหวัดกาฬสินธุ์ (2487 - 2497) ต่อมาครอบครัวอพยพไปตั้งถิ่นฐานที่ บ้านหนองลุมพุก ตำบลหนองเรืออำเภอโนนสังจังหวัดอุดรธานี (2498 -2511) ( ปัจจุบันเป็นพื้นที่ในเขตจังหวัดหนองบัวลำภู) ปี 2511 ได้อุปสมบท (2511-2516)และจำพรรษาที่ วัดอัมพวัน บ้านหนองลุมพุก ปีถัดมาย้ายไปศึกษาปริยัติธรรม ที่วัดหรคุณ
อำเภอน้ำพองจังหวัดขอนแก่น และปี 2513 ย้ายไปจำพรรษาที่ วัดศรีบุญเรือง จังหวัดเลย ปี 2516 ลาสิกขาบทรับราชการเป็นครู ที่โรงเรียนศรีสงครามวิทยาจังหวัดเลย 1 พฤษภาคม 2516 และอยู่อาศัย ณ บ้านเลขที่ 65 ถนนมะลิวัลย์ ตำบลกุดป่อง อำเภอเมือง จังหวัดเลย 


ประวัติการศึกษา เล่าเรียน

2497 จบ ป. 4 โรงเรียนบ้านแกส่งเสริมวิทยา
2500 จบ ม. 3 โรงเรียนโนนสังวิทยา อำเภอโนนสัง จังหวัดอุดรธานี
2503 จบ ม. 6 โรงเรียนเกษตรกรรมชัยภูมิ อำเภอเมือง จังหวัดชัยภูมิ
2513 สอบได้ นธ.เอก และสอบได้บาลีประโยค 2 สำนักเรียนวัดหรคุณ จังหวัดขอนแก่น
2514 สอบได้เปรียญธรรมประโยค 3 สำนักเรียนคณะจังหวัดเลย
2515 สอบได้ประกาศนียบัตร พ.กศ. ณ สนามสอบจังหวัดเลย
         และสอบได้เปรียญธรรมประโยค 4 สำนักเรียนคณะจังหวัดเลย
2516 สอบได้ประกาศนียบัตร พ.ม. สนามสอบจังหวัดเลย
2519 จบปริญญาตรี กศ.บ. (เกียรตินิยม) จาก มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ .มหาสารคาม
2524 จบปริญญาโท ศศ.ม จากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ บางเขน กรุงเทพมหานคร 

ชีวิตครอบครัว 

สมรสกับ น.ส.กาญจนา สิริหล้า (ข้าราชการครู )ปี 2517 มีบุตรธิดา 3 คน 

1. นางศศิธร เดชไทย ค.บ. มหาวิทยาลัยราชภัฎเลย ครูโรงเรียนผาอินทร์แปลงวิทยา แต่งงานกับนายสุเมธ เดชไทย มีบุตรธิดา 2 คน
(ด.ญ.สิริกัญญา เดชไทย)
(ด.ช.ณัทธพล เดชไทย)
2. นายโฆษิต ศรีประจง วทบ. พืชสวน มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ (กำแพงแสน) ทำงานบริษัทเอกชน กรุงเทพ ฯ
3. น.ส.สาวิตรี ศรีประจง วทบ. เทคโนสารสนเทศ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ทำงานเป็นโปรแกรมเมอร์ บริษัทเอกชน กรุงเทพ ฯ
ภรรยาเสียชีวิตลงเมื่อปี 2542 

สมรสกับ น.ส. อรภา ณรงค์หนู พยาบาลวิชาชีพ ระดับ 7 โรงพยาบาลเมืองฉะเชิงเทรา ปี 2546 มีบุตรบุญธรรม 1 คน
น.ส.ชนารัตน์ ณรงค์หนู ศบ. (กราฟิคคอม) มหาวิทยาลัยรังสิต 

หน้าที่การงาน

2513 เลขานุการเจ้าคณะอำเภอเมืองเลย (ม)
2516 ครูตรี โรงเรียนศรีสงครามวิทยาอำเภอวังสะพุงจังหวัดเลย
2529 ผู้ช่วยผู้อำนวยการ โรงเรียนศรีสงครามวิทยา
2539 ผู้ช่วยผู้อำนวยการสามัญศึกษา จังหวัดเลย
2545 รองผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาจังหวัดเลยเขต 2
2547 ผู้ตรวจราชการประจำเขตพื้นที่การศึกษาจังหวัดเลย เขต 1

ประสบการณ์ด้านวิชาการ 

1. ศึกษาดูงานด้านการจัดการศึกษาที่ประเทศญี่ปุ่น ปี2522(โตเกียว ไซตาม่า เกียวโต 20 วัน)
2. ได้รับเลือกเป็นกวีประจำจังหวัดเลย เข้าร่วมประชุมสภากวีโลกครั้งที่ 10 ที่กรุงเทพมหานคร
3. ได้รับเลือกเป็นผู้แทนโรงเรียนพุทธศาสนาวันอาทิตย์จังหวัดเลย เข้าร่วมประชุมสภาสังคมสงเคราะห์        แห่งประเทศไทย
4. เป็นที่ปรึกษาด้านหลักสูตรการเรียนการสอน กลุ่มโรงเรียนมัธยมศึกษาจังหวัดเลย
5. เป็นวิทยากรบรรยายการใช้หลักสูตรมัธยมศึกษา
6. เป็นอาจารย์ที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์นิสิตบัณฑิตวิทยาลัย สถาบันอุดมศึกษา 3 สถาบัน
7. เป็นวิทยากรบรรยายการวิจัยในชั้นเรียน โรงเรียนสังกัดกรมสามัญศึกษาจังหวัดเลย
8. เป็นวิทยากรที่ปรึกษาการเขียนเวบไซท์ โรงเรียนสังกัดกรมสามัญศึกษาจังหวัดเลย 33 โรงเรียน
9. เป็นอาจารย์สอนบาลีประโยค 1-2 และ 3 สำนักเรียนวัดศรีบุญเรือง บ้านติ้ว จังหวัดเลย (2513-2515)
10. เป็นอาจารย์พิเศษมหาวิทยาลัยมหามกุฎราชวิทยาลัย วิทยาเขตจังหวัดเลย (สอนวิชาการประเมินผล       และสร้างแบบทดสอบ)
11. เป็นอาจารย์พิเศษมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตจังหวัดเลย (สอนวิชาหลัก           และวิธีสอนทั่วไป)

ผลงานด้านเอกสารงานเขียนต่าง ๆ

1. เล่าเรื่องรามเกียรติ์ (เอกสารประกอบการสอนวิชาวรรณกรรมมรดก)
2. เล่าเรื่องขุนช้างขุนแผน (เอกสารประกอบการสอนวิชาวรรณกรรมมรดก)
3. คู่มือนักเรียนธรรมศึกษาตรี(เอกสารประกอบการสอนธรรมศึกษาตรี)
4. แผนการสอนวิชาพระพุทธศาสนา(เอกสารประกอบการสอนวิชาพระพุทธศาสนา ม.4)
5. แผนการสอนวิชาภาษาไทย
6. แบบฝึกเสริมทักษะร้อยกรอง(สื่อประกอบงานวิจัยในชั้นเรียนเรื่องการแต่งกาพย์กลอน)
7. นิราศโตเกียว (กลอน)
8. นิราศภูกระดึง (โคลงสี่สุภาพ)
9. นิราศสมุย(กลอนแปด)
10. นิราศไทรโยค(โคลงดั้น)
11. นิราศเมืองเหนือ(โคลงดั้น)
12. นิราศบางระจัน (กลอน)
13. นิทานพื้นบ้านอีสาน 32 เรื่อง (กลอนนิทาน)
14. ลีลาลูกทุ่ง 39 เรื่อง (เรื่องเล่า)
15. คู่มือการใช้ CU-WRITER (เอกสารประกอบการอบรมครู 2535)
16. แนะนำการสร้าง POERPOINT PRESENTATION(เอกสารประกอบคำบรรยายในการอบรมครู 2536)
17. แนะนำการใช้ EXCEL เพื่อการวัดผลประเมินผลการเรียน(เอกสารประกอบการอบรมครู 2539)
18.เอกสารประกอบการสอนหลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพครู วิชาวิธีสอนวิชาเฉพาะ
19. เอกสารประกอบการสอนหลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพครู การประเมินผลและสร้าง
แบบทดสอบ 
20. แนะนำการแต่งกลอนแปด
21. แนะนำการแต่งกาพย์ยานี 11
22. แนะนำการแต่งกาพย์สุรางคนาง
23. แนะนำการแต่งกลอนกลบท

24. แนะนำการแต่งโคลงสี่สุภาพ
25. แนะนำการแต่งโคลงดั้น
26. แนะนำการแต่งโคลงกลบทชนิดต่าง ๆ

27. บท โคลง กลอนแต่งอวยพรวันเกิดและอวยพรอื่น ๆ กว่า 100 บท
28. นิราศดอยอ่างขางคำกลอน แต่งปี 2556
29. ท้าวขูลูนาวอั้วคำโคลง แต่งปี 2558
30. นางผมหอมคำกลอนกลบท แต่งปี 2558

31. ท้าวเซียงเหมี่ยงคำโคลง โคลงกลบท 40 ตอน แต่งปี 2559
 32. นิทานอีสปคำกลอน 100 เรื่อง (สื่อแบบ E-Book)


ผลงานด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยี 

1. คู่มืออบรมการใช้โปรแกรม CU-WRITER (2534)
2. คู่มืออบรมการใช้โปรแกรม RW-WRITER (2534)
3. คู่มืออบรมการใช้โปรแกรม MS-WORD (2534)
4. แนะนำการใช้โปรแกรม EXCEL วิเคราะห์แบบทดสอบ
5. เทคนิคการวิเคราะห์ค่าสถิติด้วย EXCEL
6. เอกสารประกอบการสอนวิชาหลักและวิธีสอนทั่วไป ( สื่อแบบ E-Book)
7. เอกสารประกอบการสอนวิชาวัดผลประเมินผล ( สื่อแบบ E-Book)
8. ผลงานเขียนแบบความเรียง 40 เรื่อง ( สื่อแบบ E-Book)
9. ผลงานเขียนแบบร้อยกรอง 50 เรื่อง ( สื่อแบบ E-Book)
10. รวมผลงานการสร้างเวบไซท์ 10 เวบไซท์ ( สื่อแบบ offline internet)
11. สนทนาธรรมกับอาจารย์ขุนทอง ( สื่อแบบ E-Book)
12. บทสนทนาหลักธรรมและแนวปฏิบัติของชาวพุทธ (ไฟล์เสียง บันทึก ปี 2553-2556) 

13. ตารางเอกเซลสำเร็จรูปวิเคราะห์ค่าสถิติพื้นฐาน
14. ตารางเอกเซลสำเร็จสำหรับวิเคราะห์แบบทดสอบ
15. ตารางเอกเซลวิเคราะห์ค่าสถิติสำหรับใช้ทดสอบผลการวิจัยเชิงทดลอง 


ผลงานการพัฒนาเวบไซท์หลายแห่ง ปิดไปแล้ว 7 แห่ง ที่ยังเปิดอยู่ เป็นเวบบลอก 4 แห่ง
ได้แก่


http://mykht.blogspot.com/
http://khuntong52.blogspot.com/
http://newjarinya.blogspot.com/
http://nrongnu59.blogspot.com/

ปัจจุบันอยู่บ้านเลขที่ 65 ถนนมะลิวัลย์ ตำบลกุดป่อง อำเภอเมือง จังหวัดเลย 42000
และที่ 28/68 ศรีโสธรตัดใหม่ อำเภอเมือง จังหวัดฉะเชิงเทรา 24000

วันพุธที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

มงคลชีวิต


                มงคลคือเรื่องที่เป็นความดีความงาม เป็นศิริ เป็นศรีสง่า แก่ผู้ปฏิบัติ สมัยพุทธกาลมีคนสอน
มงคลแตกต่างกันไปจนหาข้อสรุปยาก ครั้งหนึ่งพากันไปพบพระพุทธเจ้า ถามถึงเรื่องที่เป็นมงคลแก่
ชีวิตท่านสอน ว่า ทำเรื่อง 38 ประการต่อไปนี้จะเป็น มงคลแก่ชีวิต และเป็น อุดมมงคลคือมงคลอันสูงสุด ข้อสังเกตคือ ทุกเรื่องที่ท่านสอน เป็นความจริง ใครปฏิบัติก็เป็นมงคลที่ดียิ่งสำหรับผู้นั้น  พุทธศาสนิกชนเราเมื่ออยากได้มงคลแก่ชีวิต ลองเลือกไปปฏิบัติดู แล้วเราจะได้มงคลตามปรารถนา เพื่อให้เข้าใจง่ายขึ้นได้คัดเอาบทสวดมงคลสูตร พร้อมคำแปลจากหนังสือสวดมนต์แปล มาให้อ่านดูด้วยครับ
---------------

ขุนทอง ศรีประจง



มงคลสูตร + คำแปล
.........เอวัมเม สุตัง ฯ เอกัง สะมะยัง ภะคะวา สาวัตถิยัง วิหะระติ เชตะวะเน อะนาถะปิณฑิกัสสะ อาราเม ฯ อะถะโข อัญญะตะรา เทวะตา อะภิกกันตายะ รัตติยา อะภิกกันตะวัณณา เกวะละกัปปัง เชตะวะนัง โอภาเสตวา เยนะ ภะคะวา  เตนุปะสังกะมิ อุปะสังกะมิตวา ภะคะวันตัง อะภิวาเทตวา เอกะมันตัง อัฏฐาสิ ฯ เอกะมันตัง ฐิตา โข สา เทวะตา ภะคะวันตัง คาถายะ อัชฌะภาสิฯ 
.........ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้า เสด็จประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ใกล้เมืองสาวัตถี ครั้งนั้นแล ครั้นปฐมยามล่วงไปแล้ว เทวดาตนหนึ่งมีรัศมีงามยิ่งนัก ยังพระวิหารเชตวันทั้งสิ้นให้สว่างไสว เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับ ถวายบังคมแล้วยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้ว ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าด้วยคาถาว่า
..........พะหู เทวา มะนุสสา จะมังคะลานิ อะจินตะยุง อากังขะมานา โสตถานังพรูหิ มังคะละมุตตะมังฯ 
หมู่เทวดาและมนุษย์เป็นอันมาก ผู้หวังความสวัสดี ได้คิดถึงเรื่องมงคลแล้ว ขอพระองค์ทรงตรัสบอกทางมงคลอันสูงสุดเถิด  พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสตอบว่า 
..........  อะเสวะนา จะ พาลานัง.............. ปัณฑิตานัญจะ เสวะนา 
............ปูชา จะ ปูชะนียานัง....................เอตัมมังคะละมุตตะมัง ฯ 
            1. การไม่คบคนพาล                    2. การคบแต่บัณฑิต
            3. การบูชาบุคคลผู้ควรบูชา          เป็นมงคลอันสูงสุด
........... ปะฏิรูปะเทสะวาโส จะ.................ปุพเพ จะ กะตะปุญญะตา 
............อัตตะสัมมาปะณิธิ จะ.................. เอตัมมังคะละมุตตะมัง ฯ
             4.  การอยู่ในสถานที่อันสมควร     5. ความเป็นผู้มีบุญอันได้กระทำไว้แต่กาลก่อน
             6. การตั้งตนไว้โดยชอบตามทำนองคลองธรรม      เป็นมงคลอันสูงสุด
............ พาหุสัจจัญจะ สิปปัญจะ.................วินะโย จะ สุสิกขิโต 
............สุภาสิตา จะ ยา วาจา.................. เอตัมมังคะละมุตตะมัง ฯ 
           7. ความเป็นผู้ได้ยินได้ฟังธรรมและปฎิบัติธรรมมาก  8.  ความเป็นผู้มีศิลปวิทยา  
           9. ความเป็นผู้ได้ศึกษาเล่าเรียนดี 10. ปฎิบัติในระเบียบวินัยเป็นอันดี  
          11.การกล่าววาจาที่เป็นธรรมและไพเราะ  เป็นมงคลอันสูงสุด
............มาตาปิตุอุปัฏฐานัง.......................ปุตตะทารัสสะ สังคะโห
............อะนากุลา จะ กัมมันตา................. เอตัมมังคะละมุตตะมัง ฯ 
             12. การอุปัฎฐากบำรุงบิดามารดาให้เป็นสุข     13.การสงเคราะห์บุตรและภรรยาให้มีความสุข
            14. การทำการงานให้เสร็จเรียบร้อยไม่คั่งค้าง  เป็นมงคลอันสูงสุด
............ทานัญจะ ธัมมะจะริยา จะ.............ญาตะกานัญจะ สังคะโห 
............อะนะวัชชานิ กัมมานิ ...................เอตัมมังคะละมุตตะมัง ฯ
             15. การให้ทาน  16. การประพฤติธรรม  17. การสงเคราะห์ญาติและคนใกล้ชิดทั้งหลาย
              18.การทำงานที่ไม่ประกอบด้วยโทษทั้งทางโลกและทางธรรม  เป็นมงคลอันสูงสุด
............ อาระตี วิระตี ปาปา......................มัชชะปานา จะ สัญญะโม 
............อัปปะมาโท จะ ธัมเมสุ................. เอตัมมังคะละมุตตะมัง ฯ 
              19.  การงดเว้นจากการทำบาปทั้งหลาย  20.  การงดเว้นจากการดื่มน้ำเมา
              21. ความไม่ประมาทในธรรมทั้งหลาย     เป็นมงคลอันสูงสุด
............ คาระโว จะ นิวาโต จะ................. สันตุฏฐี จะ กะตัญญุตา 
............กาเลนะ ธัมมัสสะวะนัง................. เอตัมมังคะละมุตตะมัง ฯ 
               22. การเคารพต่อบุคคลและสิ่งที่ควรเคารพ  23.ความไม่เย่อหยิ่งจองหอง  
               24. ความสันโดษยินดีในสิ่งที่ตนมีอยู่และสิ่งที่ตนพึงหาได้โดยชอบธรรม    
               25. ความเป็นผู้มีกตัญญญูรู้คุณที่ท่านได้ทำไว้แล้วแก่ตน  
               26.  การได้ฟังธรรมคำสอนของสัตบุรุษตามกาลเวลาอันสมควร  เป็นมงคลอันสูงสุด
............ ขันตี จะ โสวะจัสสะตา.................สะมะณานัญจะ ทัสสะนัง 
............กาเลนะ ธัมมะสากัจฉา.................  เอตัมมังคะละมุตตะมัง ฯ 
            27.  ความเป็นผู้มีขันติความอดทน   28. ความเป็นผู้ว่านอนสอนง่าย    
            29. การได้เห็นสมณพราหมณ์ผู้ทรงศีลทั้งหลาย 30. การได้เจรจาสนทนาธรรมตามกาลเวลาอัน                สมควร    เป็นมงคลอันสูงสุด
............ ตะโป จะ พรัหมะจะริยัญจะ.........  อะริยะสัจจานะ ทัสสะนัง 
............นิพพานะสัจฉิกิริยา จะ.................  เอตัมมังคะละมุตตะมัง ฯ 
            31. การมีความเพียรเพื่อเผากิเลส  32.  การประพฤติพรหมจรรย์คือปฎิบัติตนให้เป็นผู้ประเสริฐ                 33.  การมีปัญญาเห็นอริยสัจทั้งหลาย   34. การทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพาน   เป็นมงคลอันสูงสุด
............ ผุฏฐัสสะ โลกะธัมเมหิ................. จิตตัง ยัสสะ นะ กัมปะติ 
............อะโสกัง วิระชัง เขมัง.................... เอตัมมังคะละมุตตะมัง ฯ
             35.  การทำจิตไม่ให้หวั่นไหวในโลกธรรมที่มากระทบ   36. การไม่ทำใจให้เศร้าโศก    
             37. การทำจิตให้ปราศจากธุลีคือกิเลสทั้งหลาย   38การทำจิตให้ถึงพระนิพพาน   
             เป็นมงคลอันสูงสุด
............เอตาทิสานิ กัตวานะ.....................  สัพพัตถะมะปะราชิตา 
............สัพพัตถะ โสตถิง คัจฉันติ..............ตันเตสัง มังคะละมุตตะมันติ ฯ 
               อนึ่ง เทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย  เมื่อได้กระทำมงคลทั้งหลายเช่นนี้แล้ว  ย่อมเป็นผู้ไม่พ่ายแพ้ในที่ทั้งปวง  และย่อมถึงความสวัสดีในที่ทั้งปวง    ทั้งหมดนั้นเป็นมงคลอันสูงสุด ของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลายเหล่านั้นแล ฯ

วันเสาร์ที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

ตามรอยพ่อ


ตามรอยพ่อ
.........ช่วงนี้จะได้เห็น ได้ยินคนไทยเราแสดงความอาลัยต่อในหลวงรัชกาลที่ 9 กัน ทั่วไปก็เป็นความ

รู้สึกที่คนส่วนมากมีต่อพระองค์ท่าน มีบางคนถึงกับประกาศว่าจะขอ ปฏิบัติตนตามรอยพระองค์ท่าน
เป็นภาพที่น่าอัศจรรย์มากที่การจากไปของท่านมีผลทำ ให้คนจำนวนมากอยากจะตามรอยท่าน
ก่อน|นี้อาจแค่ชื่นชม รักใคร่ ถือเป็นเรื่องปกติ แต่ตอนนี้ขนาดคิดจะตามรอยท่าน แปลกประหลาด
มาก ๆ ถ้าคนสองคนไม่เท่าไรหรอก นี่มันคนทั้งบ้านทั้งเมือง คนที่เป็นประชาชนของพระราชากำลัง
นึกคิดอยากทำความดี กำลังอยากตามรอยพ่อ โอกาสเช่นนี้ใครจะสามารถรณรงค์ให้คนจำนวน
มหาศาลเกิดความ 
นึกคิดเช่นนี้ได้ หากมีคนช่วยให้พวกเขาได้กระทำตามสิ่งที่พวกเขากำลังคิด
และอยากตาม รอยพ่อ
ได้สำเร็จ น่าจะได้ผลลัพธ์ที่ดียิ่ง เป็นพลังอันมหาศาลที่จะขับคลื่อนบ้านเมือง
ของเรา ก้าวไปข้างหน้าและ
พัฒนาไปสู่จุดหมายที่พ่อหลวงต้องการ คือการกินดีอยู่ดีของประชาชน 
.........ความคิดอยากทำดีตามรอยพ่อ เป็นความคิดที่ดีมาก เพราะพ่อหลวงท่านมีรอย บาทให้ติดตาม
ได้มากมายเหลือเกิน คิดว่าน่าจะสนองความอยากเดินตามได้นับแสนนับ ล้านความคิด เพราะรอยที่พ่อหลวงย่ำไปทั่วทุกภูมิภาคกว่า 70 ปี มีรอยให้ศึกษาและเลือก ปฏิบัติอย่างได้ผลดีจำนวนมาก มาลองศึกษาดูกันดีไหมว่ามีร่อยรอยอะไรบ้างที่พ่อหลวง ทิ้งไว้ให้เราได้ลองติดตามพระองค์ท่าน
.........พ่อเป็นนักสารสนเทศ รู้ข้อมูลข่าวสารมากมาย พระองค์ท่านเรียนรู้ 5 ภาษาใช้สื่อวิทยุโทรเลข 

คอมพิวเตอร์ อินเตอร์เนต ไม่ใช้รู้ผิวเผินแต่รู้ระดับเชี่ยวชาญ อยากเดินตามรอยพระองค์ท่านสักเสี้ยว
หนึ่งก็คงมีค่าล้นแล้วฝากลูก ๆของพระองค์ท่านได้ตามรอยเรื่องสารสนเทศให้ดีเพราะเป็นประโยชน์

ต่อการพัฒนาทุก ๆด้าน อย่ามัวแต่ เล่นแชทเล่นไลน์คุยกันสนุก ๆ เท่านั้น ต้องใช้สื่อสารสนเทศได้
ด้วยจึงจะดียิ่งขึ้น 
........พ่อหลวงเป็นนักศึกษาวิจัยชอบที่จะทำการศึกษาค้นคว้าภาคสนามมากกว่า ลำพัง ภาคทฤษฎี
เราคงไม่เห็น กังหันน้ำชัยพัฒนา ไม่เห็นวิธีแก้ดินเปรี้ยว ไม่เห็นพลังงาน ทดแทนต่าง ๆ ใครเคยไป
เยียมพระราชวังสวนจิตรลดาจะสรุปได้เลยว่า พ่อหลวงทำให้วัง กลายเป็นสนามทดลองทำวิจัยค้น
คว้าศาสตร์ต่าง ๆมากมาย ผลเป็นประโยชน์แก่ประชาชน ของพระองค์ทั้งนั้น พันธุ์ข้าวดี ๆ การผลิต
นมสด การเพาะเลี้ยงเห็ด เพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ เพาะเลี้ยงสาหร่าย การผลิตไบโอดีเซล ฯลฯ ร่อยรอย
การชอบวิเคราะห์วิจัยนี่ก็ยอดเยี่ยม ลองเดินตามพระองค์ท่านดีไหม ไม่ต้องทั้งหมดหรอก แค่อยาก
รู้อยากเรียน อยากทดลอง และลงมือทำจริงให้เกิดผล ก็มีคุณค่าแก่เรามากยิ่งแล้ว
.......พ่อหลวงปฏิบัติพระองค์ยึดมั่นในศีลธรรม ปฏิบัติพระองค์เป็นผู้ให้ทั้งวัตถุสิ่งของ และสิ่งที่มีค่า

ยิ่งต่อการดำรงชีพของพสกนิกรมากมายประมาณค่ามิได้ ให้การศึกษาให้ บริการด้านสุขภาพอนามัย
 ฯลฯ ส่วนพระองค์สนใจศึกษาปฏิบัติธรรมเสมอเมื่อมีโอกาส ร่องรอยพระคือผู้ให้ที่ยิ่งใหญ่ ปฏิบัติ
พระองค์เป็นแบบอย่างของผู้มีศีลมีธรรม ตามเสด็จ รอยบาทด้านนี้ก็จะมีค่ายิ่งและเป็นมงคลแก่ชีวิต
ดียิ่งทีเดียว
.......พ่อหลวงเป็นนักการศึกษาผู้ยิ่งใหญ่ เป็นครูเหนือครูแบบการจัดการศึกษาที่พ่อ อยากให้ลูกของพระองค์ได้รับการศึกษาที่ดี มีครูผู้สอนที่พร้อมจะถ่ายทอด มีสื่อและ นวัตกรรมที่ทันสมัย อธิบายยาก

จะเข้าใจ พ่อเลยให้จัดโรงเรียนไทยคมให้ดู จนวันนี้แล้ว น่าเห็นโรงเรียน ไทยคม 2 3 4 5... กระจาย
ไปทั่วประเทศ ทราบว่าผู้บริหารกำลังเร่งกัน อยู่ ลูก ๆพระองค์ท่านรวมตัวกันผลักดันให้เกิดโรงเรียน
ไทยคมทุกจังหวัดก็ดีนะ คนที่ จะได้ประโยชน์ก็ลูกหลานพ่อหลวงนั่นแหละ 
...........พ่อหลวงนักคิด นักค้นคว้าทดลอง ทำให้เราได้รู้ได้ยิน เกษตรทฤษฎีใหม่ เศรษฐกิจพอเพียง
 น้ำดีไล่น้ำเสีย 4น้ำ3รส แกล้งดิน ป่าสามอย่างประโยชน์สี่อย่าง ปลูกป่าแบบไม่ปลูก ขาดทุนเป็น
กำไร แก้มลิง เส้นทางเกลือ ล้วนเป็นผลจากการเป็นนัก คิดของพ่อหลวง มิใช่คิดเฉย ๆ แต่นำไป
ปฏิบัติ แก้ปัญหา ร่องรอยนี้ก็น่าติดตาม ฝึกเป็นคนใช้ความนึกคิด คิดหาข้อมูลสภาพแวดล้อมปัจจัย
ที่เป็นสาเหตุและแนวทางที่ จะแก้ไขหรือพัฒนา และการทดลองปฏิบัติ ในชีวิตประจำวันเรามักจะมี
เรื่องราว ปัญหา ที่เข้ามาให้ได้คิดได้แก้ไข ลองใช้แนวทางของพ่อหลวงดู
……….พ่อหลวงผู้มีเวลาและงานเพื่อประโยชน์สุขแก่พสกนิกรและความเจริญของประเทศ ชาติสม

กับที่เคยตรัสว่า จะปกครองแผ่นดินโดยธรรมเพื่อประโยชน์สุขแก่มหาชนชาวสยาม พระองค์ทำได้
จริง 
เราคงต้องถามตนเองว่ามีแนวความคิดที่เป็นประโยชน์แก่ผู้อื่น แก่ชุมชน แก่สังคมบ้างหรือยัง
ถ้ายัง
ควรรีบหามาไว้และพยายามทำให้เกิดเป็นจริงให้ได้ เหมือน พ่อหลวงท่านทำมาแล้ว สาธุรอย
เท้าพ่อ
รอยนี้ยิ่งใหญ่มหาศาลจริง ๆ 
.........ร่องรอยพ่อที่น่าติดตามยังมีอีกมากมาย 70 ปี ที่ทรงงานไม่หยุดของพระองค์ มี ผลงานเกิดขึ้นมากมายมหาศาล อยากตามรอยพระองค์ท่าน ลองเลือกศึกษาดู อันไหนดี เหมาะสมกับตัวเรา ก็ลอง
เอามาใช้เป็นแนวดำเนินชีวิตของเราได้ ท่านคงภูมิใจมาก ถ้ารู้ว่าลูกหลานพระองค์ขยันทำสิ่งที่ดีงาม
เป็นประโยชน์แก่ตนเองและผู้อื่น หลาย ๆคนคิด และลงมือทำจริงจัง บ้านเมืองจะได้ประโยชน์อย่าง
ยิ่ง จริงไหมขอรับ

ผู้เขียน
6 พฤศจิกายน 2559

ทำบุญขาดทุน


ทำบุญขาดทุนมีด้วยเหรอ
..........ทำบุญขาดทุน มีด้วยเหรอ เป็นพุทธวจนะมีอ้างอิงในพระไตรปิฎกไหม อ๋อ มีครับ แต่ไม่ใช่คำของ
พระพุทธเจ้าตรัสหรอก เลยไม่มีอ้างในพระไตรปิฎกผมพูดเองเวลาสอนชาวบ้านสอนลูกหลานว่าทำบุญอย่า ให้ขาดทุนนะ แล้วมันจริงไหม แน่นอนครับ เพราะพูดโดยยึดหลักคำสอนของพระพุทธเจ้านั่นแหละ
.........พระพุทธเจ้าสอนอะไรเกี่ยวกับการทำบุญ ท่านสอนว่าศาสนิกชนต้องขยันทำบุญอย่าขี้เกียจ พระหรือ โยมไม่ต่างกัน ต้องขยัน ท่านบอกวิธีทำด้วยว่ามี 3 แนวทางคือ ทานมัย สีลมัยและภาวนามัยก็บุญกิริยาวัตถุ 3 ประการนั่นไง รู้ชื่อกันทั้งเมืองแหละไม่ใช่คำแปลกอะไร แต่ถามหน่อยนะว่า มีจุดประสงค์อะไรถึงทำทาน ต้องการอะไรถึงปฏิบัติสีล มีประโยน์อะไรถึงภาวนา อย่าเพิ่งตอบนะ จดไว้ในใจก่อน เดี๋ยวผมจะขยายความ ให้ฟัง และเทียบดูว่าได้สักกี่คะแนน
.......ทานมัย แปลว่า บุญเกิดจากการทำทาน แสดงว่าบุญตัวนี้ทำวิธีนี้เท่านั้นถึงจะได้ แล้วตัวบุญที่เกิด
มันเป็นแบบไหน มันเกี่ยวข้อกับกิเลสตัวหนึ่งคือความโลภเป็นลูกหลานมันชื่อว่ามัจฉริยะความขี้เหนียว
ความตระหนี่ มันเกาะอยู่ที่ใจเรานี่แหละ อยากรู้เรามีตัวใหญ่ไหม ลองควักแบงค์พันออกมาบริจาคดูสิ 

มัน จะคอยห้ามว่าอย่า ๆ ๆ ๆ ๆ เก็บไว้ก่อน เอาแบงค์ 20 ให้เขาไป มันแหละมัฉจริยะ ปฏิบัติธรรมไม่พัฒนาไป ไม่ถึงไหนซักที เพราะความโลภมันตัวโตอยู่ จะไปสู่แดนอริยะ ต้องกำจัดความโลภ ซึ่งต้อง
ใช้เวลานาน ท่านจึงสอนให้ทำทานกันบ่อย ๆ จะได้ถากโลภะให้เบาบางไปเรื่อย ๆ 
...........สีลมัย แปลว่าบุญเกิดได้จากการปฏิบัติศีล ไม่ใช่จำศีลนะ แค่จำได้ ทุกข้อ บุญยังไม่เกิด ต้อง
ปฏิบัติ บ่อย ๆ จนศีลติดตัวเรา มีด้วยเหรอศีลติดตัว มีซิ ติดเป็นนิสัยไง เจอสัตว์งูตัวเล็ก ๆ หาไม้จะฟาด
ให้ตาย ศีลข้อปาณามันปัดมือไว้อย่าทำ ๆ เห็นทองเส้นโต ๆ ตกหล่น หยิบมา ศีลอทินนามันห้าม บอก

เอาไป แจ้งความหาเจ้าของดีกว่า คนสวยมานั่งเบียดร้อนฉ่าเลยศีลข้อสามมันบอกไฟชัด ๆระวังหน่อย
นี่การ ปฏิบัติศีลได้บุญต้องแบบนี้ เลยปฏิบัติได้ตลอดเวลา ไม่ต้องไปจำศีล ขนาดพระเณรยังไม่จำเลย ลองให้เณร ท่องสิบข้อให้ฟังสิ ท่องไม่ได้หรอก เพราะจำไม่ค่อยได้ พระยิ่งแล้วใหญ่ 227 ข้อ ใครจะจำไหว ผมเคยบวชนะแต่ไม่เคยชวนโยมมาจำศีล เพราะอยากให้ปฏิบัติศีลมากกว่า ปฏิบัตืศีลที่บ้าน ที่
ทำงาน จะเห็นประโยชน์ ศีลได้ง่าย ลองดูสิ ครอบครัว 5 คน พ่อแม่ลูกมีศีลทุกคนจะดีเลิศขนาดไหน
อ้อเกือบลืม ทำไมพระพุทธเจ้า สอนให้ปฏิบัติศีล เพราะทั้ง 5 เรื่องเป็นตัวก่อโทสะ ทำให้ใจเร่าร้อน หาความสงบเย็นยาก ปฏิบัติศีลจะช่วย ให้โทสะเบาบางลง กลายเป็นคนใจดีมีเมตตากรุณาซื่อสัตย์
ไม่ประมาท
..........ภาวนามัย บุญเกิดได้จากการศึกษาอบรม ภาวนาแปลว่าอบรม ทำให้เจริญ ภาวนาแล้วจะเกิดปัญญา เมื่อมีปัญญาก็กระทบกิเลสตัวเอ้คือ โมหะ ความโง่เขลา เพราะโง่เขลานี่แหละเราจึงเดินหา

ความเจริญไม่ค่อย เจอ แถมโดนหลอกง่ายด้วย มันหลอกให้กราบคางคกก็เอา อยากได้หวยนี่ ถ้ามีปัญญาก็รู้ได้ว่า กูจบปริญญา ยังไม่รู้เลยหวยจะออกตัวไหน คางคกเองไม่รู้หนังสือจะไปรู้หวยได้ไง
ปัญญามันดีนะชำระโมหะได้ ท่านจึง สอนให้ภาวนามาก ๆ จะได้ฉลาด ความฉลาดนั่นแหละคือ กุสล
 คำว่ากุสล แปลว่า ฉลาด ภาวนาแล้วถ้ายังไม่ ฉลาด กุสล ก็ไม่เกิด ไม่ใช่บุญ
..........สรุปการทำบุญด้วยวิธี ทานมัย เพื่อขัดเกลา โลภะ ปฏิบัติศีลมัยเพื่อขัดเกลาโทสะและทำภาวนามัย เพื่อขัดเกลาโมหะเมื่อรู้จุดประสงค์หลักการทำบุญเช่นนี้แล้ว ก็ไม่ยากที่จะอธิบายข้อความที่กระผมยกไว้ เป็นหัวเรื่องว่า ทำบุญแล้วขาดทุน มีจริงไหม เหมือเราทำไร่ทำนา เราก็มีจุดหมายอยากได้อะไร ผลผลิต น้อยบางทีก็ขาดทุน ไปค้าขายขาดทุนบ่อย แบบนั้นแหละทำบุญก็ขาดทุนได้ถ้าไม่เป็นไปตามจุดหมาย ที่เราคาดหวังไว้
..........ทำทานเพื่อขจัดโลภะ แต่ไม่ระมัดระวังหลงไปสะสมความโลภตัวใหม่ ทำทานไปยี่สิบบาทใส่
ซอง ผ้าป่า ใส่บาตรพระ เสร็จแล้วก็มานั่งสร้างโลภตัวใหม่ สาธุชาติหน้าร่ำรวยเงินทองมหาศาล ได้
เกิดบนสวรรค์ มีวิมานแก้ววิมานทอง ฯลฯ ประมาณราคาหลายร้อยล้าน สละยี่สิบบาท อยากได้ร้อย
ล้าน อันนี้ขาดทุนแน่ ๆ ...จำศีลทุกวันพระ กลับมาบ้านกลายเป็นคนเจ้าระเบียบเห็นคนอื่นไม่ได้จำศีล
เป็นพวกบาป ครอบครัวก็เครียด ไม่เป็น สุคติง ยันติ ปฏิบัติศีลแล้วบ้านเป็นสุคติ นิพพุติง ยันติ ปฏิบัติ
ศีลแล้วจะเข้าถึง ความดับทุกข์ ผู้ถือศีล บางคนกลายเป็นคนขี้โมโห ว่ากล่าว ตักเตือนไม่ได้ นี่ก็ขาด
ทุนนะ ลองแนะนำพวกถือศีลดูสิ ว่าถือศีลแล้ว อย่าขี้โมโหนะ อย่าแอบหยิบเงินนะ อย่าขี้เมานะ ถ้าไม่
เจ็บตัวก็ใช้ได้แสดงว่าเย็นลง ส่วนพวกภาวนาบ่อย ๆ กุสล คือ ความฉลาดเกิด โมหะความงมงายก็
ค่อย ๆจางไป เคยกราบลูกวัวสองหัวก็ไม่ทำ ขูดเปลือกไม้ก็เลิก เรียนหนังสือเก่ง แบบนี้ถึงจะดี แต่ถ้าโมหะหนักหนากว่าเดิมก็ใช้ไม่ได้ เช่นกลับบ้านมาบอกเห็นผีมาขอส่วนบุญ เห็นหวยสามตัว แบบนี้มันหนักกว่าเดิมอีก ทำบุญแล้วขาดทุนเป็นแบบนี้เอง 
..........ทำทานแล้วอย่าไปอยากได้โน่นอยากได้นี่ พระท่านแนะให้อุทิศส่วนบุญน่ะดีแล้ว จะได้ลืมเรื่องสวรรค์ วิมานไป อุทิศบุญได้บุญแถมมาอีก สีลมัยก็เช่นกัน ไหว้พระสวดมนต์เสร็จก็ทบทวนศีลบริสทธิดีทุกข้อ บุญ ก็เห็น ๆ อุทิศต่อเลย ภาวนากลับมาทบทวนดูอบรมมาได้กุสลคือความฉลาดกี่มากน้อย เป็นบุญนะ อุทิศต่อ ฝึกแบบนี้การทำบุญไม่ขาดทุนแน่ เพราะไม่ได้ใช้บุญในทางที่ผิด ไม่เพิ่มโลภะ โทสะหรือโมหะ เอาไป ใช้ประโยชน์ได้ครับ สวัสดี

วันพฤหัสบดีที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2559

ข้อข้องใจการทำบุญบ้าน



ไขข้อข้องใจงานทำบุญ 



----------------
………ทำบุญบ้านเราเองก็ดี ช่วยงานบ้านคนอื่นก็ดี มีปัญหาข้อสงสัยมากมายที่น่าหาคำตอบสำหรับ
ผมคนขี้สงสัย เจออะไรแปลก ๆ ก็เก็บมาคิด ทำไมต้องทำอย่างนั้น ทำอย่างอื่นได้ไหม ทำแล้วมันถูก
ต้องเหมาะสมไหม ทำนองนี้ คนอื่นอาจเฉยๆ แต่เราชอบหยิบเรื่องไม่เป็นเรื่องมาคิดน่ะครับ มีอะไรให้
คิดบ้างล่ะ
.......ทำไมต้องทำบุญบ้าน ปรารภเหตุมากมาย ได้ลูกคนใหม่ ทำนาได้ข้าวมาก ๆ ดีใจได้โชคลาภ 
หายเคราะห์เข็ญ ล่วงปัญหาที่ทำให้ทุกข์โศก รำลึกถึงบิดามารดาหรือญาติที่ล่วงลับ มีงานมงคล
เช่น 
บวชนาค โกนจุก แต่งงาน ฯลฯ ก็ทำบุญ 
.......อยากทำบุญบ้านบ้าง เตรียมพร้อมอย่างไร ทำบุญแบบชาวพุทธ นิยมนิมนต์พระเจริญพุทธมนต์
ที่บ้าน ถวายภัตตา หารที่บ้าน เลี้ยงแขกที่มาร่วมทำบุญ จึงต้องมีค่าใช้จ่าย เป็นค่าภัตตาหารพระ ค่า
จตุปัจจัยถวายพระ อีกส่วนคือค่าใช้จ่าย ในการรับรองแขกที่มาร่วมงานเชิญน้อยค่าใช้จ่ายน้อยเชิญ
มาก
ค่าใช้จ่ายมาก ประมาณการค่าใช้จ่ายสองส่วนนี้แล้ว บวกอีก สัก 5 เปอร์เซ็นต์ นั่นแหละที่ต้อง
เตรียม
สตังค์ไว้ก่อนคิดทำบุญบ้าน บุญอื่น ๆใช้หลักเดียวกันนี้ก็ได้ 
.......บ้านคับแคบหรือไม่ก็เป็นห้องเช่าห้องเดียวแต่ก็อยากทำบุญบ้านก็คงทำไม่ได้ แต่ทำบุญเฉย ๆ 
ได้ คำนวณบุญที่จะ ได้จากการทำบุญบ้านมีไม่กี่อย่าง หรอก แล้วนำมาปรับใช้ในการทำบุญของเรา 
ทำบุญบ้านเขาได้บุญจากไหน ทานมัยทำบุญบ้านของทำอะไร ถวายภัตตาหาร ถวายไทยทาน เลี้ยง
อาหารแขก ปฏิบัติศีล ฟังเทศน์ เราทำให้ไกล้เคียงกับการ ทำบุญบ้านได้นี่เตรียมอาหารคาวหวานใส่
ปิ่นโต 7-9 เถาไปถวายสังฆทานพระที่วัดถวายทั้งปิ่นโตไปเลย ถ้ามีจตุปัจจัยอย่างอื่นถวายไปด้วย นี่
บุญได้เท่ากับที่เขาถวายทานที่บ้าน รายจ่ายเท่ากันหรือมากกว่าก็ทำได้ เลี้ยงแขกงานทำบุญบ้าน
30-100 คน คงไม่เกินนี้ เราอยู่ห้องเช่าเชิญแขกมาร่วมคงทำได้ยาก เราก็ไปเลี้ยงแขกข้างนอกซิ
ไปโรงเรียนเด็กที่โรงเรียนจัดบริการอาหารกลางวันให้ทุกคน แถวชนบทเขาจัดเวรแม่บ้านออกไปทำ

อาหารที่โรงเรียน เด็กสอง-สามร้อย คน จองซักสองโรงเรียนยังไหว ได้เลี้ยงอาหารเที่ยงเด็ก แถมครู
นักการด้วย ทำไหวเหรอ ก็ถามเขาซิงบประมาณวันละเท่าไร มอบให้เขาไปเลย จอง 5 วันยังได้เลย
อันนี้น่าจะได้บุญมากกว่าเลี้ยงแขกทำบุญบ้านนะ ส่วนปฏิบัติศีลเราก็ทำได้อยู่แล้ว ข้อจำกัดเรื่อง
สถานที่ น่าจะผ่านไปได้
.......ทำบุญบ้านพิธีกรให้บูชาศาลพระภูมิ วงด้ายสายสิญจน์รอบบ้าน อันนี้สงสัยว่าทำไปเพื่ออะไร
ศาลพระภูมิ คือสถานที่ เราจุดธูปเทียน วางดอกไม้ บูชาพระภูมิ พระภูมิอยู่ที่ศาลรึเปล่า ไม่อยู่หรอก
|ทำไม เขาทำพิธีตั้งศาลถูกต้องตามตำราเชียวนะ คิดง่าย ๆ คุณมีบ้านอยู่ราคาหลายแสนจนถึงหลาย
ล้าน วันหนึ่งก็มีลูกหลานมาตั้ง ศาลเพียงตา ข้างบ้านแล้วเชิญคุณลงจากบ้านไปอาศัยที่ศาลเพียงตา
คุณจะไปไหม ตอบเองก็ได้นี่ พระภูมิ ส่วนมากจะเป็นเทพหรือเทวดาประเภท ภุมมเทวดารุกขเทวดา
พวกนี้มีวิมานอยู่กับที่เป็นหลักแหล่ง ส่วนอากาสัฏฐกเทวดา วิมานลอยอยู่บนอากาศ เลื่อยลอยไปได้
ทั่วไป จะเป็นเทวดาภุมมเทวดาหรือรุกขเทวดา จะอุบัติมาพร้อมวิมานแก้ววิมานเงินวิมานทอง ตาม
พลังบุญกุศลที่มี ประมาณค่า หลายร้อยล้าน บริเวณบ้านเรา อาจมีวิมานภุมมเทวดา 1 วิมานหรือมาก
กว่า เมื่อเราสร้างบ้านเขาเห็นและรู้ว่ามีคนมาสร้าง บ้านอยู่อาศัย เมื่อมีคนตั้งศาลเขาก็รับทราบว่า คน
บ้านนี้นับถือพระภูมิ ที่เชิญไปสถิตศาลราคาไม่กี่พันไม่กี่หมื่น น่าขำมากกว่า เมื่อไปจุดธูปบูชา เขาก็
ทราบแบบคนบ้านใกล้เรือนเคียง ก็คงยินดีอนุโมทนาสาธุ ให้ศีลให้พรตามสภาพ แต่ตอนถวาย ของ
เครื่องสังเวย นี่น่าคิดนะ เพราะเทพ เขากินอาหารหยาบไม่ได้อยู่แล้ว เหมื่อนเราเอาเนื้อดิบปลาดิบ
ไปถวายพระนั่นแหละ พระฉันไม่ได้ ก็คงให้พรเอา ภุมมเทวดาเห็นก็คงขำ ๆ ด่าเอา หาว่าเราแกล้ง
ให้เขากลืนน้ำลายแต่กินไม่ได้ 
........ด้ายสายสิญจน์ ยกมาย่อหน้านี้แล้วกัน เดิมทีพรามหณ์ใช้เป็นด้ายที่มีมนต์ขลังแทรกในพิธีการ
สวดมนต์เมื่อไรยังไม่เคยไปสืบค้นดู ลือกันว่าขลังมากแบบหมอผีเขาใช้เวลาไปปลุกเสกของขลัง
ในป่าช้านั่นแหละ ผีไปแตะด้ายร้อนยัง กะไฟลวก ถ้าขลังขนาดนั้น ก็น่าเป็นห่วงนะทำบุญบ้านเห็น
วงรอบบ้านแบบหมอผีเขาทำนั่นแหละ ผีเข้าบริเวณบ้านไม่ได้ เทพต่าง ๆ ไม่กลัวสายสิญจน์หรอก
แต่น่าสงสารผีพวกหนึ่งตั้งใจจะมาร่วมทำบุญ และเป็นจุดประสงค์เจ้าบ้านด้วย อยากเชิญผีพวกนี้มา
บ้านเพื่อรับสว่นบุญ ผีญาติพี่น้องนั่นไง มาเจอด้ายสายสิญจน์ผ่านไม่ได้ คงยืนสรรเสริญเจ้าภาพอยู่
นอกเขตบ้าน สรรเสริญว่าอย่างไรคงเดาออกนะ ผีปู่ย่าตายายเราปากจัด ๆทั้งนั้น ความเห็นกระผม
ไม่จำเป็นนักหรอก เราไม่ได้เชิญหมอผี มาทำพิธีอะไรนี่นา วงด้ายกันผีไปทำไม ถึงมีผีผ่านมาก็แค่
มาขออนุโมทนารับส่วนบุญ ไม่ได้มาทำร้ายใคร
........จัดที่นั่งพระทำบุญบ้าน ที่นั่งพระปูลาดที่พื้นโต๊ะหมู่บูชาแล้วก็ผ้านิสีทนะ 7 รูปมีคนแก่มาร่วม
งาน10 กว่าคน เลย จัดวางโชฟานั่งพิงฝาห้อง ให้นั่งไหว้พระ ท่านนั่งนานไม่ไหวถามว่าเหมาะไหม
ไม่ต้องตอบก็ได้ ถายรูปออกมาดูกันได้ จะได้เห็นชัด ๆว่าพระกำลังไหว้คนแก่บนเก้าอี้โชฟา น่ารักดี
เนาะ เราจะยอมให้เฉพาะคนพิการที่ต้องนั่งรถเข็น นั่นเขามีความจำเป็นถ้าจะให้ดูดีก็ยกที่นั่งพระให้
สูงซะ อย่าให้ต่ำกว่าที่ชาวบ้านนั่งก็ใช้ได้
.......การประเคนของพระ ปกติให้ผู้ชาย ยกของสูงกว่าพื้นสักคืบแล้วยืนถวายให้ท่านรับ ถ้าของหนัก
ใช้ผ้าหรือเชือกม้วน ใส่พานยื่นถวายแทนกรณีผู้หญิงก็ประเคนได้ แต่ตอนวางรอให้ท่านพาดผ้าหรือ
วัสดุอย่างอื่นทอดวางกับพื้นแล้วเราค่อยวางสิ่งของบนผ้าและวัสดุนั้น ๆอย่าส่งของต่อมือพระ เพราะ
ทำให้พระต้องอาบัติ เราได้บาปแถมด้วย สิ่งของที่ประเคนแล้วอย่าไปช่วยจัดให้พระเพราะทำให้พระ
ไม่สามารถแตะต้องของนั้นได้ ถ้าขืนแตะก็ต้องอาบัติไง เช่น ถวายแกงแล้ว พระ วางไม่เรียบร้อย ไป
ช่วยจัดให้ แบบนี้พระจะไม่ฉันแกงถ้วยนั้นเลย ต้องยกถวายใหม่ถึงจะฉันได้
.......ระหว่างพระสวด ควรสำรวมกิริยามรรยาทนั่งฟังด้วยความเคารพ การส่งเสียงเอะอะ ทำกิจกรรม
ระหว่างพระสวด เป็นมรรยาทไม่ดี อย่าทำ กิจกรรมใด ๆ รอพระสวดเสร็จแล้วค่อยทำ เคยเห็นขณะ
พระกำลังสวด วัยรุ่นประกวดร้องเพลงอยู่ ข้างบ้าน มันเกินพอดี เดี๋ยวนี้เจอบ่อย บางงานพวกขี้เมาส่ง
เสียงดังกว่าพระสวดอีก งดสักชั่วโมงจะเป็นไรเชียว
.......พระฉันกับเลี้ยงแขก จัดอย่างไร ทำบุญบ้าน มีเลี้ยงพระกับเลี้ยงแขก แขกมาร่วมงานเขามีของ
ฝากติดมือมาร่วมทำบุญ บางคนก็กลับ บางคนก็อยู่ร่วมงานจนเสร็จงานแขกที่ไม่อยู่ร่วมงานเจ้าภาพ
มักจะเชิญไปรับประทานอาหารก่อนค่อยกลับ แถมจัดอาหารใส่ถุงฝากทางบ้านมอบให้ไปด้วย คนที่
เห็นไม่เข้าใจนึกตำหนิว่า รีบอะไรนักหนา พระยังไม่สวดเลยโยม ฉันก่อนแล้ว มันคนละส่วนกัน ขณะ
พระฉันเจ้าภาพควรนั่งดูแลอยู่ใกล้ ๆแบบพนักงานบริการนั่นแหละ เคยพบบางงานหนี กันหมด เรานั่ง
รับหน้าอยู่แทน หลวงพ่อฉันเสร็จก็ถามว่า เป็นไงโยมทำบุญบ้านเหนื่อยไหมก็ตอบท่านว่าขอรับท่าน
เหนื่อยแทน เจ้าภาพ ไม่รู้ไปรับแขกอยู่ไหน กระผมรับใช้แทนได้ขอรับ หลวงพ่อหัวเราะชอบใจ
......ถวายเงิน ถวายใบปวารณาบางครั้งเจอมัคทายกคุ้มวัดธรรมยุติตอนถวายปัจจัยดูแกกวดขันมาก
ต้องอย่างนั้นอย่างนี้ ใบปวารณาใส่ซองเรียบร้อยส่วนเงินมอบมัคทายกไป ส่วนคุ้มวัดมหานิกายเงิน
ใส่ซองถวายท่านก็รับ เลยมีข้อสงสัยว่าทำไม ไม่เหมือนกัน มีพระวินัยข้อหนึ่งระบุว่าพระรับเงินทอง
ต้องอาบัตินิสสัคคียปาจิตตีย์ ในโกสิยวรรค สิกขาบทที่ 8 ความว่า " อนึ่ง ภิกษุใดรับก็ดี ให้รับก็ดีซึ่ง
ทอง เงิน หรือ ยินดีทอง เงิน อันเขาเก็บไว้ให้ เป็นนิสสัคคิยปาจิตตีย์." ธรรมยุติถือเรื่องห้ามพระรับ
เงินทองจากชาวบ้าน แต่มีไวยาวัจจกรรับแทน ไปถึงวัดก็ต้องแยกให้ว่าของรูปไหนเท่าไร ตาม ที่
ระบุในใบปวารณา ตามหลักการเงินจะถูกส่งเข้าบัญชีแยกตัวเลขของแต่ละรูป เมื่อต้องการใช้เงินก็
แจ้งไวยาวัจจกร เหมือน เจ้าหน้าที่ธนาคาร ดูเข้าท่าดีไม่ต้องแตะต้องตัวเงินทอง ถามว่าพ้นอาบัติ
นิสสัคคียปาจิตตีย์ตามข้อ 8 ที่ยกมาให้อ่านไหม รับเองก็ผิด ให้คนอื่นรับแทนก็ผิด ยินดีพอใจเงิน
ที่เขาเก็บไว้ให้ก็ผิด ลองให้ไวยาวัจจกรทำตัวเลขผิดดูซิ โลกแตกแน่ ดังนั้นหลักการไม่รับเงินทอง
ของธรรมยุติจึงขลัง ใช้ได้ผลดีในระยะแรก ๆ แต่ปัจจุบันนี้ไม่ค่อยขลังแล้ว เพราะไม่พ้นผิดคือต้อง
อาบัตินิสสัคคีย์ปาจิตตีย์เท่ากัน
.........การรับของเหลือจากพระมาบริโภค อันนี้ชาวบ้านไม่เข้าใจหรอกพิธีกรควรกำกับให้ด้วย เพราะ
อาหารคาวหวานที่ถวาย ทานไปแล้วทุกอย่างเป็น ของสงฆ์พระบริโภคไม่หมดคืนให้พิธีกรควรกล่าว
คำขอ แค่คำง่าย ๆว่า ข้าพเจ้าขอรับอาหาร คาวหวานเหลือเศษจากสงฆ์ไปแจกจ่ายกันบริโภค เพื่อ
เป็นศิริมงคลด้วยเถิด แค่นี้ก็พอแล้ว จะได้ไม่ต้องเป็น พวกแอบบริโภคของสงฆ์ ความจริงพระท่าน
ไม่หวงหรอกขอท่านก็ให้ ไม่ขอท่านก็ให้ ขอแล้วรับเอาดีกว่า สบายใจดี
.........ประพรมน้ำมนต์ เจิม ต่าง ๆ อันนี้ไม่ใช่พิธีกรรมทางพุทธศาสนา มีแทรกเข้ามานานแล้ว เอา
อย่างพราหมณ์เขา โยมคะยั้นคะยอให้พระทำจนกลายเป็นกิจกรรมต้องมี พระสวดมนต์เลยต้องมี
หม้อน้ำมนต์ มีเทียนน้ำมนต์จุดถวายพระ ตอนสวดบทมงคลสูตร อเสวนา จ พาลานัง...ฯลฯ นั่น
แหละไปดับเทียนเอาตอนสวดถึงบท ขีนังปุรานัง ถือว่าสวดน้ำมนต์ ให้แล้ว หลังให้พรก็ทำพิธีรด
น้ำมนต์ให้ พระนอกนั้นก็สวดชยันโต ให้ จะพรมตรงไหน นำท่านไป ส่วนการเจิม ใช้ดินสอ พอง
หรือแป้งนวลก็ได้ ผสมกาวนิดหน่อย จะได้ติดง่าย เวลาพระเจิมจะได้ทำง่ายหน่อย เจิมหน้าบ่าว
สาวนี่อาบัติปาจิตตีย์ เชียวนะอย่าคิดว่าไม่เป็นไร ไม่ได้ยกเว้นให้เจิมประตูหน้าต่างตามสบาย ช่วย
ระวังพระหล่นตอนเจิมที่สูง ๆ แล้วกัน
.........ไปเจองานหนึ่งเขาห้ามสตรีมีครรภ์ฟังพระเจริญพุทธมนต์ สงสารนะสตรีคนนั้นแกเป็นเจ้าภาพ
ด้วยสิ เราเป็นแขก ไม่กล้าทักหรอกแค่ขำ ๆ ไปร่ำเรียนมาจากไหนกัน พระไม่รังกียจใครหรอก ขนาด
คนตายท่านยังโปรด ทำไมคนท้องจะ ฟังพระเทศน์ไม่ได้ คำที่สวดเป็นพระสูตรต่าง ๆในเจ็ดตำนาน
สิบสองตำนาน เป็นบทร้อยกรองกล่าวถึงหลักคำสอนของ พุทธศาสนาทั้งนั้น สตรีมีครรภ์ควรฟังมาก
กว่าคนอื่น ๆ เพราะเธอมีสองชีวิตที่ต้องการความเป็นศิริมงคลมากกว่าคนอื่น สมัยพุทธกาล พระเถระ
ที่หญิงมีครรภ์ต้องการฟังเทศนาจากท่านมากที่สุดคือ พระองคุลีมาล เล่าว่าฟังเทศน์ท่านแล้วเกิด มี
ความสวัสดีต่อคนฟังด้วยต่อลูกในครรภ์ด้วย จนเกิดมี อังคุลิมาลปริต ที่ลือกันว่าเป็นคาถาช่วยให้
คลอดง่ายนั่นแหละ ใครเป็นคนห้ามสตรีมีครรภ์ฟังพระเจริญพุทธมนต์ จำไว้เลยว่าคุณกำลังทำบาป
 ทำให้คนสองคนแม่ลูก ไม่ได้ฟังสิ่งที่เป็น ศิริมงคลแก่ชีวิตของพวกเขา
.......ไปเจอการทอดบังสุกุลเป็นแก่หมู วัว เขาเอาเขาวัวคู่หนึ่ง ใบหูหมูเฉี่ยวเอาตรงปลายและจมูก
ใส่ถาดมาให้พระชัก บังสุกุล เสร็จงานก็ถามพิธีกรว่านั่นทำอะไร เขาบอกว่าเจ้าภาพให้ล้มวัว 1 ตัว
หมู 1 ตัว เอามาทำอาหารเลี้ยงแขกในงาน ก็อยากทำบุญอุทิศให้พวกเขาไปด้วย พระก็ชักบังสุกุล
ให้ตามประสงค์ แปลกดี ทำบาปแล้วยังกลัวบาปอีก มันหนีไม่พ้นหรอก เหมือนลงน้ำแล้วกลัวเปียก
นั่นแหละ มันเปียกไปแล้ว บาปและบุญมันคนละส่วนกัน แก้กันไม่ได้หรอก วัวก็ตายไป จะมาบอกว่า
ขอโทษอย่ามีเวรกรรมแก่กันเลย วัวและหมูที่ไหนจะมายินดีให้อภัย หลอกตัวเองชัด ๆ เหมือนพวก
ฆ่าคนตายแล้วเอาดอกไม้มาขอขมาศพ น่าสมเพศไหมล่ะ ก่อนทำไม่คิด มาคิดตอนฆ่าลงไปแล้ว
ไร้สาระสิ้นดี
..........รับพรงานทำบุญบ้านหรือทำบุญอื่น ๆ การรับพรเป็นสาระสำคัญของการทำบุญ ไปบางงานเจ้า
ภาพเมาแอ๋ มารับพรไม่ได้ โง่เง่าจริง ๆ ลงทุนทำบุญหมดไปหลายพันหลายหมื่น ได้บุญมากมาย จะ
ใช้บุญซะหน่อย เมาซะนี่ เลยไม่ได้ใช้บุญ ให้เกิดประโยชน์ ถ้ามีญาติผู้ล่วงลับมารออนุโมทนาบุญอยู่
เจ้าภาพทำไม่ได้ก็โกรธซิ คงไม่สรรเสริญเจริญพรแน่ แช่งชัก น่ะแหละมากกว่า ก็บุญกองอยู่ตรงหน้า
มันอุทิศให้ พวกเราอนุโมทนา ก็ได้รับส่วนบุญแล้ว ฉันจะได้ไปเกิดแน่ถ้าได้บุญ เพิ่มมานิดหน่อย เสีย
ดาย อ้ายบ้ามันเมา...ฯลฯ ดังนั้นอยาละเลยการรับพรและอนุโมทนาส่วนบุญให้ญาติมิตร สำคัญมาก
..........ไปงานทำบุญบ้านงานหนึ่งเจอเจ้าภาพประเภทเหนียวหนึบ นั่งเฝ้าเข่งขนมจีน เข่งข้าวต้มมัด
เด็ก ๆมาช่วย บ่นจัด มากจัดน้อย จนเด็ก ๆ หายหน้าไปหมด เสร็จงานเหลือของมากมาย ความจริง
ทำบุญบ้าน ขนมจีน ข้าวต้มมัด เป็นของทำ เพื่อแจกขอบคุณคนที่มาร่วมงาน สมัยก่อนยุ่งยากหน่อย
ยังไม่มีถุงพลาสติค ตอนนี้มีถุงให้ใช้ จัดใส่ถุงล่วงหน้าไว้เลย แขกมาก็หยิบยื่นให้ มันจะมีมากแค่ไหน
ก็แจกได้หมด นี่คือบุญที่ขอแบ่งจากคนที่มาร่วมงาน ฉลาดทำบุญซะมั่ง มัว แต่งี่เง่าอยู่ จะได้บุญจาก
ไหน
.........นินทาชาวบ้านทำบุญบ้านอย่างเดียวก็ยืดยาวมากแล้ว สาเหตุที่เอามาเล่า เพราะมีคนชอบที่
ถามผมแล้วได้คำตอบ แบบนี้ เขาว่าไม่ค่อยมีใครเล่าให้ฟัง อยากให้เขียนเล่าไว้ให้ลูกหลานได้อ่าน
ได้รู้กันบ้าง น่าจะมีประโยชน์ ช่วงนี้ไม่ค่อยมี เรื่องเขียนโพสด้วย เอาก็เอา

วันศุกร์ที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2559

ไหว้พระภูพุทโธ



ไปไหว้พระภูพุทโธ 

--------------
...........29 กันยายน 2559 เดินทางไปเมืองเลย เพื่อร่วมงานเกษียณครูที่เคยร่วมงานกันมา ช่วงปี
2516-2529 ปีนี้เกษียณ 3 คน ก็เลยแวะมาให้กำลังใจ ครูนกลูกสาวไปรับที่สนามบินพาไปกินข้าว

แถว กุดโง้ง แล้วกลับไปประชุมที่โรงเรียนศรีสงครามวิทยา  ตามไปด้วยและขอยืมรถไปดูวังสะพุง
เลิกเรียนกลับไปรับครูนก มาถึงบ้านราวห้าโมง ลูกชวนไปตลาดแลง หาซื้อของไปกินที่บ้านเมือง
แปดริ้ว เรานึกถึงตลาด บ้านนาอ้อเพราะของขายมากดีราคาไม่แพงจึงให้พาไปตลาดสดบ้านนาอ้อ
..........จากบ้านติ้ว ขึ้นถนนใหญ่มุ่งไปทางโรงพยาบาล ศาลากลาง กม.ศูนย์ ตรงสามแยก เลี้ยวขวา 

ไปทางท่าลี่เชียงคาน ผ่านสามแยกทองคำคือตรงหน้าวัดหนองแวงหรือวัดศรีวิชัยวนารามนั่นแหละ
เขาเรียกสามเหลี่ยมทองคำเลยไปนิดหนึ่งตลาดสดบ้านหนองผักก้าม แม่ค้ายังบางตาอยู่รถเริ่มมาก
ต้องระมัดระวังโดยเฉพาะรถทะเบียนลาวบ้านเขาเดินรถกลับข้างกับบ้านเรา เราไปซ้ายแซงขวา แต่
บ้านเขาไปขวาแซงซ้าย ผ่านหน้าโรงเรียนมหาไถ่ศึกษาเลย ลูกสามคนจบ ป.6 ที่นี่มารับส่งประจำ
เลยไปอีกก็คือบ้านกำเนิดเพชร ที่คนกำลังยุ่งกับงานรับเสด็จ ตอนเที่ยงเรามารอบหนึ่งแล้ว ทาน

ข้าวเที่ยง ที่กุดโง้ง ตอนนี้รีบไปผ่านหน้าราชภัฎ เพื่อนที่ทำงานสอนอยู่นี่สองสามคนเกษียณไป
หมดแล้ว เหลือคน รู้จักก็แฟนครูนก เราผ่านไปอีกยังไม่ถึงปลายทาง
.........ผ่านสำนักงานเขตพื้นที่ประถมศึกษาเลย เขต 1 ที่มาติดต่องานตอนเที่ยงแก่ ๆนั่นแหละตรงนี้
เป็นสำนักงานใหม่ เดิมอยู่ในเขตเทศบาลเมืองเลย ตอนเกษียณก็ยังอยู่สำนักงานเก่า พอเราออกเขา

ได้ สำนักงานใหม่ ลูกน้องบางคนมันยั่วว่า เพราะเจ้านายเกษียณ ถึงได้สำนักงานใหม่ นึงว่าเราจะจน
แต้ม มีคำตอบนะแต่คำตอบมันเจ็บแสบมากเลยไม่ตอบ ปล่อยไป ผ่านขนส่งจังหวัดเลย มาสอบขอ
ใบขับขี่กัน ที่นี่ ครูนก คุณเหน่ง ส่วนคุณหมู ไปเรียนขับรถที่แปดริ้ว ไปเรียนสอบใบขับขี่ที่กรุงเทพฯ 
ได้ใบ ขับขี่ค่อยยอมให้ออกรถใหม่ ตอนนี้ขับไปทำงานได้เองแล้ว
..........ผ่านตลาดสดบ้านนาอ้อ แม่ค้ากำลังมากัน ครูนกบอกจะพาไปไหว้พระใหญ่ ก่อนค่อยกลับมา

นึกขำ ๆ นะสงสัยพระนักเลง ต้องไปซูฮกก่อนแบบนั้นรึเปล่า ครูนกชี้ให้ดูบนภูเขาข้างค่ายทหาร บอก
นั่นไงพ่อ ใหญ่ไหม เห็นไกล ๆ คงใหญ่มาก ตกลงไปไหว้พระก่อนก็ได้ ผ่านหน้าโรงพยาบาลตำบล
ที่เดิมเราเรียกสถานีอนามัยนั่นแหละ มาใช้บริการบ่อย เขาเปิดฝึกอบรมหมอนวดแผนไทย รุ่นครูก็
อายุ สูงหน่อย รุ่นศิษย์หน้าตาดีสวย ๆ มาฝึกเอาความรู้จะไปทำงานที่โรงแรม มาใช้บริการนวดแผน
ไทย เจอศิษย์หมอนวด เก่ง ๆทั้งนั้น มันนวดเก่งพูดเก่งจนเราหลับเลยแหละ
.......ผ่านหมู่บ้านไปถึงโรงเรียนนาอ้อวิทยา คุ้นเคยมากมานิเทศบ่อยเพราะใกล้แค่นี้เอง ด้านขวาเป็น

โรงพยาบาลค่ายศรีสองรัก ชื่อนี้ไม่มี ษ์ ถึงจะเป็นชื่อถูกต้อง มาจากชื่อพระธาตุศรีสองรัก พระธาตุก็
คือ เจดีย์ที่สร้างเป็นอนุสรณ์ ศรี ก็ ศิริมงคล สง่า งาม สองคือสองฝ่าย ได้แก่ฝ่ายกรุงศรีอยุธยาสมัย
พระเจ้าจักรพรรดิและฝ่ายกรุงศรีสัตนาคนหุต สมัยพระเจ้าชัยเชษฐาธิราช รัก คือความรักใคร่กลม
เกลียวกัน ส่วนเขียน รักษ์ คือการพิทักษ์รักษา คนละความหมาย ใช้ให้ถุกละกัน เราเลี้ยวขวาไปทาง
โรงพยาบาลค่าย มีถนน เลียบผ่านขึ้นเขาไปเลย ไม่ถึง 10 นาทีก็ถึงที่จอดรถ ไม่ทันได้ดูทิวทัศน์เลย 
.........เห็นเขาเขียนป้าย ภูพุทโธ น่าจะให้เป็นชื่อภูเขา เดิมเขาลูกนี้ชื่อภูน้อย เห็นชาวบ้านเรียกกัน
ความจริงไม่น้อยหรอก ใหญ่โตมาก ๆ ต้นไม้ก็มืดมุงเต็มไปหมด เป็นที่หาของป่าอย่างดีของชาวบ้าน
รถปีนเขาแป้บเดียวก็จอดให้ลงได้เพราะถึงแล้ว มองไปเห็นด้านหลังองค์พระ ยายไปยืนวางท่าเป็น

แม่นางแบบ เรียกไปเก็บภาพให้หน่อย เสร็จแล้วเดินลับไปด้านหน้า เราตามไม่ทันเลย เด็ก ๆวิ่งหาย
ไป มุดตอไม้ขนาดใหญ่ มีสองตอ ครูนกบอกมันคือห้องน้ำ อ้อมิน่าเด็กชอบ ยายไปยืนกลางถนนด้าน
หลังให้ถ่ายภาพแล้วเดินอ้อมไปด้านหน้า พอตามไปเห็นยืนทำปากมุบมิบ ๆ พนมมือแต้ อ๋อกำลัง
ไหว้พระ รู้นะว่ากำลังขออะไร ใกล้วันหวยออกแล้ว ขอหวยแหงเลย เคยดูเฟสยาย หวยเต็มไปหมด
ไม่รู้ได้มา จากอาจารย์ไหนบ้าง เคยแซวแกนะว่า ซื้ออะไรก็ได้อันนั้นแหละ ซื้อเสื้อผ้าก็ได้เสื้อผ้า
ซื้อหวยก็ต้อง ได้หวย ถึงอยากได้รางวัลมันก็ไม่ค่อยจะได้หรอก ใบหวยเต็มบ้านแล้ว แกหัวเราะ
อบใจแต่ยังไม่เลิก 
........ไปไหว้พระ สังเกตดูช่างฝีมือเยี่ยมจริง ๆ พุทธลักษณะงดงาม ทำให้นึกถึงพระพุทธเจ้า ถึง
ท่านจะเป็นชาวอินเดียสมัยโบราณ แต่ท่านเป็นอัจฉริยะบุคคลที่หาได้ยากยิ่งในโลกใบนี้ ตำรามหา
ปุริสลักษณะของศาสนาพราหมณ์เขียนไว้นานก่อนท่านเกิด พวกพราหมณ์เองก็นึกว่าเขียนไว้ให้ดู
น่าอัศจรรย์ แต่พอเห็นสิทธัตถกุมารก็อัศจรรย์จริง ๆ เพราะมีคุณลักษณะตรงตามตำราทุกประการ
ทำให้เป็นคนน่ารักน่าศรัทธามาแต่เยาว์วัย เมืองกบิลพัสดุ์ร่ำรวยมาก โดยเฉพาะความอุดสมบูรณ์

ด้าน ธัญญาหาร จนตั้งชื่อเจ้าชายต่าง ๆเกี่ยวข้องกับข้าวปลาอาหารทั้งนั้น สุทโธทนะ สุกโกทนะ
 ฯลฯ ราชสมบัติมั่งคั่ง กองทัพเข้มแข็ง บริวารมากมาย  รวมแล้วมีค่ามหาศาลวางอยู่แทบเท้า กลับ
ออกบวชไม่สนใจ จิตใจเด็ดเดี่ยวอะไรปานนั้น 6 ปีที่มุ่งมั่นจนบรรลุโมกขธรรม ด้วยความเมตตายัง
ช่วยสั่งสอนสาวกนาน ถึง 45 ปี และสอนกันจนนาทีสุดท้าย ที่จดจำกันได้ดีว่า ท่านย้ำอย่าประมาท
เป็นสุดยอดคำสอน ยกมือไหว้พระพุทธรูปแต่ใจนึกถึงพระศาสดา สาธู ท่านผู้มีมหากรุณาต่อชาว
โลก 
.........จบไหว้พระเดินไปชมวิว ถ่ายภาพเป็นที่ระลึก ก็ดูดีนะสวย ๆทั้งนั้น น่าสังเกตคือตอนนี้ยังไม่มี
การบูชาแบบนอกรีตนอกศาสนามาปะปน ก็ไหว้ด้วยความสบายใจ อย่าลืมนะที่นี่คือพุทธสถาน อย่า

ได้นำ การเคารพบูชาเทพ ภูติผีมาปะปนไว้เลย ขอซักแห่งเถอะ เพราะตอนนี้ลัทธิแปลก ๆมันรุกเข้า
ไปถึงใน พระอุโบสถได้แทบทุกวัดแล้ว สาธุ ขอให้ที่นี่อย่าเป็นเหมือนที่อื่นเลย
..........ลงมาจากไหวะพระห้าโมงเศษ ตลาดขวักไขว่ด้วยแม่ค้าและคนซื้อ ของสดจากป่า จากสวน
เยอะมาก ราคาไม่แพง ยายเดินลิ่ว ๆ ได้รอบหนึ่ง หิ้วของมาเต็มสองมือ ต้องขอไปเก็บที่รถให้ เรา

ชอบดู มากกว่าซื้อ หน่อไม่บงต้มสุกถุงละสิบบาท มีส้มปลาน้อยถุงละสิบบาทวางคู่กัน คนเลยกิน
หน่อไม้ต้ม ต้องกินกับส้มปลาน้อย หรือส้มปลาจ่อม มีสองแบบ สุก กับ กำลังจะสุก หน่อไม้หวาน 
ต้องเมืองเลย มีหลายพันธ์ุหักมาเคี้ยวดูหวานจริง ๆ เลยต้องซื้อให้สองกิโลจะเอาไปผัด ต้มจืด  มี
หน่อไม้รวก แบบที่ เขาอัดปี๊บมาขายนั่นแหละ แต่นี่หน่อไม้ดิบ ๆสด ๆ ถามเขาว่าเอาไปทำอะไร 
เขาว่าแกงดิบ ๆ ก็ได้ เอา ไปเผาสุกแล้วค่อยเอาไปแกงก็ดี หน่อยไม้ซางแบบ"หน่อนางดิน" ที่มัน
โผล่ดินแต่ปลายแหลม ๆ ไปหา ต้องขุดดินลงไปสับเอาหน่อนางดิน สีขาวนวล ต้มจืดแล้วจะหวาน
มาก ๆ คนแก่ชอบ ตำน้ำพริกอ่อน น้ำปลาร้านัว ๆ บีบมะนาวราด กินได้กินดี อร่อยมาก ซื้อมาสอง
ถุง 40 บาท ต้มจืดแล้ว 
..........ไปดูแผงลอยขายผัก พริกผักฟักแฟงแตงกวาแตงร้านเต็มไปหมดราคาไม่แพง ยายหอบมา
อีกแล้ว ฟักทองอ่อน น้ำเต้าอ่อน บวบหอม บวบเหลี่ยม บวบงู ไม่กล้าถามซื้อไปทำไม คงเพราะมัน
สด ราคาถูกกว่าตลาดบ่อบัวแปดริ้ว เราตามหาผักพื้นบ้านอื่น ๆ เจอยอดจิกผักกระโดนป่า ผักกระ
โดนน้ำ ผักเม็ก ผักคะย่า ยอดส้มป่อย ซื้อหมดอย่างละกำ กำละ 5 บาท กำใหญ่ ๆนะนี่ ไปเจอมะระ
ป่าของแท้ ทั้งยอดอ่อนและลูกดิบ เหมาะเอามาหมด ของโปรดนี่นา หายากมาก จวนค่ำกำลังจะ
กลับ เจอคนมุงสาวสวยคนหนึ่ง แวะไปดูกำลังขายปลากดสด ๆจากแพที่เลี้ยงเอง ไข่ทุกตัวกิโล
ละ 150 
บาท อุดหนุนไป 1 กิโลกรัม กลับกันก็เกือบมืด 
..........เขามีกับข้าวสำเร็จมา แต่เราบอกให้ต้มปลากดให้หน่อย ไม่ต้อง"คัว"นะ เพราะปลาไข่เต็ม
ท้อง ต้มน้ำเดือด ๆ ใส่ข่าตะไคร้ใบส้มป่อย น้ำเดือดก็ใส่ปลาลงไป จนปลาเปื่อยค่อยเติมปลาร้า พริก
ดิบบุบพอแตก สุดท้ายก็ใบแมงลัก ชิมแล้วปรุงรส อาหารค่ำเขาวางอาหารสำเร็จกันหันมาลุยต้มส้ม
ปลากดใส่ยอดส้มป่อย ครูนกบอกไม่นึกว่ามันจะอร่อยมากขนาดนี้ 
..........วันแรกก็อร่อยมากแล้ว วันรุ่งขึ้นไปกินลี้ยงคงอร่อยแบบงานเลี้ยง มีเวลาแวบไปภูป่าเปาะที่ 
โพสไปแล้วนั่นแหละ ตอนเย็นงานเลียงครูเกษียณ สำหรับวันนี้ได้ไปไหว้พระใหญ่ ได้แวะตลาด
สดบ้าน นาอ้อ ได้ปลากดสด ๆ มาทำต้มยำใส่ใบส้มป่อย อร่อยจริง ๆ นอนหลับสบาย ๆ 




คนนี้แหละเขียน
8 ตค. 2559


วันพฤหัสบดีที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2559

นินทาภรรยา





                                                                น.ส. กาญจนา ศิริหล้า .
.............ตา ๆ เขียนถึงเมียบ้างสิ อยากรู้ว่าตามีเมียกี่คน สวยดีไหมลูกหลาน บางคนก็มีคำถามทะลึ่ง ๆ ให้เราตอบ แต่ดูหน้ามันใสซื่อคงอยากรู้จริง ๆ เพราะ บ่อยครั้งที่ตาไปเยี่ยมพวกเขา ตาไปคนเดียว บางครั้งก็ตั้งใจเล่าให้ฟัง ตาไม่ใช่ คนรูปหล่อ ไม่เจ้าชู้ แต่ เป็นคนที่มีความรอบรู้และประสบการณ์มากมาย จนผู้เฒ่า ผู้แก่เขาอยากยกลูกสาวให้ ตาเป็นคนแบบไหนล่ะ
…. .............มีความรู้ดีจากการศึกษาเล่าเรียน ปี 2503 จบ ม. 6 แล้ว ปี 2510 บวช พระเตรียมแต่งงาน แต่บวชนานไปหน่อย จบนักธรรมเอก ปี 2512 จบเปรียญสี่ ประโยค ปี 2514 สอบได้วิชาชุดครู พ.ม. ปี 2516 แล้วสึกไปสอบบรรจุครูปีนั้น เลย และมีโอกาสศึกษาต่อ จบปริญญาตรี กศ.บ. ปี 2519 จบปริญญาโท ศศ.ม. ปี 2524
 ............มีประสบการณ์ในการทำงานหลากหลาย ทำนาช่วยพ่อแม่ (2503-2510) เรียนรู้วิชาช่างฝีมือ จักสาน งานไม้ ถักทอ ทำมาหากิน ก่อนแต่งงานต้องเป็นทุก อย่าง ไปบวชได้รักษาการเจ้าอาวาส 1 ปี เป็น เลขาฯเจ้าคณะอำเภอ 3 ปี เป็นครู สอนปริยัติธรรม 4 ปี สึกมาเป็นครูมัธยม สอนวิชาศีลธรรม ภาษาไทย เป็นบรรณารักษ์ เป็นหัวหน้าหมวดวิชา เป็นผู้ช่วยผู้บริหาร เป็นผู้ตรวจราชการ
.............ยังมีคุณสมบัติอื่น ๆอีกมากมาย แต่พอแค่นี้ก่อน เดี๋ยวคนอ่านจะอ้วก ก่อน ปี 2510 สาวที่มีนาติดกัน เป็นคนขยันมาก เธอฟันดินทำคันนาเก่งกว่าเราอีก ไถนา ก็คล่อง เห็นแล้วอัศจรรย์ พ่อแม่เราชอบมากอยากได้เป็นสะใภ้ เร่งให้เราบวช แต่เรา ยังไม่คิดมีเมีย เลยถือโอกาสบวชศึกษาเล่าเรียนพระธรรมวินัยซะ 7 พรรษา
..............เป็นครูได้ 2 ปี อายุมากแล้ว พ่อเสียไปแต่ปีแรกที่เป็นครู เลยคิดถึงตัวเอง มี การงานมั่นคงพอเลี้ยงครอบครัวได้แล้ว ก็มองหาสาว ๆ คนไหนน้า ที่จะมาเป็นคู่กรรม ของเรา ก็ดู ๆ ไปหลายคน ที่เป็นสาวชาวบ้านธรรมดา ๆ ก็มี ที่สุดก็มาลงลูกสาวมรรค ทายก พ่อแม่เป็นคนแก่วัด ลูกสาวก็คงไม่ทิ้งแถว คุณสมบัติก็ใช้ได้ มีการศึกษาดี เธอจบโรงเรียนเพาะช่าง แต่มาเป็นครูประถม ได้พบพูดคุยกันก็ชอบเลยนะ เพราะ เป็นคนหัวโบราณ ไม่ล้ำสมัยเกินไป แต่เขามีแฟนแล้ว แฟนเขาทำงานอยู่กรุงเทพ ฯ เธอสอนอยู่จังหวัดเลย ความห่างไกลก็เลย ร้างลากันไป ทำให้เรามีโอกาสสานสัมพันธุ์ คนแวดล้อมเธอเราตีกินรวบหมด ญาติพี่น้อง พี่ชาย พี่สะใภ้ ที่สำคัญ แม่ยายที่เขาเล่า ว่า หินที่สุด ให้ท้ายเรานี่ จะไปมีปัญหาอะไรอีก เราแต่งงานกันเมื่อ ปี 2517 ต่อมามี บุตรธิดาด้วยกัน รวม 3 คน
............... ความประทับใจในตัวคุณกาญจนา เธอเป็นภรรยาที่ดีมาก เป็นแม่ที่รักลูก อยู่นอกบ้านพูดเก่ง อยู่บ้านไม่ค่อยพูดเอาแต่ยิ้ม เลยไม่ได้ทะเลาะกันตลอดชีวิตการ สมรส เพราะอยู่กรุงเทพนาน เลยทำอาหารอีสานไม่เก่ง ต่างจากแม่ยายที่ฝีมือเยี่ยม เราก็เลยเข้าครัวช่วยแม่ยายประจำ ที่ขำไม่หายมีอยู่วันหนึ่งเธอกลับถึงบ้านก่อนสับเส้น มะละกอใส่กะละมังไว้ เก็บผักมาพร้อม พอเรากลับถึงบ้านมากระซิบว่าตำส้มให้กินหน่อย แม่ยายมาเห็นด่าเอา”กูนึกว่ามึงจะตำส้มไว้ให้ผัวกัน มึงเตรียมไว้ให้ผัวทำให้กินนี่เอง” เราก็หัวเราะ เพราะรู้อยู่ว่าแกทำอาหารอีสานไม่เก่ง ตำแจ่วบองก็ทำเยอะ ๆ ใส่กระปุก ไว้ให้ เพื่อนสาว ๆมาเยี่ยมบ้านชมใหญ่เลยว่าพี่เขยตำแจ่วบองอร่อยมาก
.............. ประมาณ ปี 2535 สุขภาพเธอเริ่มแย่งลง เป็นภูมิแพ้ ประเภทหอบหืด ก็รักษา กันตามสภาพ เพราะบ้านอยู่ในเมือง คลินิก โรงพยาบาล อยู่ไม่ไกล เพื่อนแกหลายคน ก็เป็นพยาบาลเคยได้รับคำแนะนำมากมาย แต่อาการไม่ดีขึ้น เคยไปรักษาที่โรงพยาบาล พระมงกุฎเกล้า 3 ปี ไปผ่าตัดต่อมหอบหืดที่ โรงพยาบาลโคกเคียน นราธิวาส ก็ไม่หาย ที่สุดเธอก็จากไปเมื่อปี 2542 ทิ้งมรดกไว้ ให้ 3 คน ขอบันทึกแทรกไว้ตรงนี้ละกัน
 ..............คนโต ศศิธร ศรีประจง (เดชไทย) ครูเชี่ยวชาญ พิเศษ ปริญญาโท วิชา เอกภาษาอังกฤษ ทำงานที่ โรงเรียนศรีสงครามวิทยา จังหวัดเลย
 ..............คนที่ 2 โฆษิต ศรีประจง วท.บ. พืชไร่ จากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ทำงานบริษัทเอกชน กรุงเทพ ฯ .
.............คนที่ 3 สาวิตรี ศรีประจง วท.บ. เทคโนโลยีสารสนเทศ จาก ม.มหาสารคาม ทำงานเป็นโปรแกรมเมอร์ ที่กรุงเทพ ฯ 



             ถ่ายกับ น.ส. นิภา ณรงค์หนู น .ส อรภา ณรงค์หนู แล้วก็ น.ส. ธนัญธร ณรงค์หนู ------------
..............ปี 2546 ได้ เปิดโลกออนไลน์ ยามอยู่ที่บ้าน ติดตั้งเนทความเร็วสูง ทำให้ทดลองสร้างเวบไซท์ได้หลายเวบ ท่องอินเตอร์เนตผ่าน ไอซีคิว แมส เสจ เพิร์ช ได้รู้จักคนมากมาย ได้เห็นบริการหาเพื่อนหญิง เพื่อนชาย นึกสนุก กับเขาเลยเขาไปเล่นด้วย ก็ได้รู้จักสาวพยาบาลโรงพยาบาลเมืองแปดริ้ว ได้แลก เปลี่ยนความคิดเห็นเชิงวิชาการ โดยเฉพาะเรื่องการทำเวบไซท์ การทำสไลด์ การ นำเสนอผลงาน ก็ได้ให้คำแนะนำช่วยเหลือที่เป็นประโยชน์ โอกาสสำคัญ ก็มีบท กลอนให้อ่านบ้าง ทำให้ความผูกพันธ์เพิ่มมากขึ้นตามวันเวลา ยามเจ็บป่วยก็ได้ เธอช่วยเหลือ ทำให้รู้สึกว่าความอบอุ่นใจที่ขาดหายไปได้รับการทดแทนไม่เหงา อีกแล้ว จึงได้ไปพบ แม่ยาย และสารภาพความจริงให้ท่านฟัง ท่านก็เมตตาด้วยดี ยกลูกสาว" คุณนิภา ณรงค์หนู" ให้เป็นภรรยาคนที่สอง แต่นั้นมา ไม่ผิดหวังหรอก ครับเธอเป็นผู้ใหญ่ ระดับ หัวหน้าตึกสงฆ์ ดูแลคนเจ็บป่วยมานาน ย่อมไม่ยากที่ จะดูแลคนชราอย่างเรา อยู่ด้วยกันมาจนถึงทุกวันนี้ มีเกร็ดเล็กเกร็ดย่อย ให้ได้ เล่าถึงเธอมากมาย หยิบยกมาเล่า เพียงบางอย่าง นะครับ เพื่อความปลอดภัย
...............นับแต่อยู่ด้วยกันที่แปดริ้วมา ผมมีภรรยา 3 คน คือคนแรกนิภา ณรงค์หนู พยาบาลสาวหัวหน้าตึกสงฆ์ มาดเข้ม งานคล่อง เฉียบขาด แต่ลูกน้องรักมาก อยู่มาวัน หนึ่งนิภาณ รงค์หนูหายไป มี อรภา ณรงค์หนู มาแทน ดูรูปร่างหน้าตา เวลายิ้ม เวลา ดุเหมือนนิภาไม่มีผิด เออ ก็ได้ เมียเราชื่อ อรภา เห็นว่า ลูกสาว นักเรียนระดับประถม   คิดให้ เราเลยท่องอยู่หลายวัน อรภา ๆ ๆ ๆ ๆ พยายาม จำให้ได้ กลัวลืมไป ทักชื่อเขาผิดเป็น วิยะดา วิกานดา แบบนี้ เจ็บตัวแน่ ดีใจจังได้เมียสองคนแล้ว ยัง ยังไม่จบวันหนึ่งเห็นคุยกับลูกสาวว่า มาเปลี่ยนชื่อกันเถอะ ชื่อเดิมไม่ดี ทำให้เงินทอง ไหลออกง่าย ดีใจนะที่เรามีชื่อ ขุนทอง คงไม่ไหลออกจนต้องเปลี่ยน นึกว่าพูดเล่น วันนึ่งก็มีจดหมายจ่าหน้า น.ส. ธนัญธร ณรงค์หนู ดูบ้านเลขที่ก็ใช่ ใครหว่า เด็ก แม่บ้านเขาต่อว่า “ จำภรรยาตัวเองไม่ได้เหรอ นี่แหละใช่เลย” แหม เรา มีเมียคนที่ 3 แล้วนะเออ
................ธนัญธร เคยเป็นพยาบาล แม้เป็นข้าราชการบำนาญแล้ว ยังมีจิตวิญญาณเป็นพยาบาล ใคร
เจ็บไข้ได้ป่วย ยินดีช่วยเหลือเสมอ คนรอบข้างไม่สบายก็ใส่ใจสม่ำเสมอ เป็นไง ไม่สบายตรงไหน ทานยารึยัง เอ ทำไมไม่ทานตามเวลาล่ะ  ไม่ได้นะ สำนวนนี้ได้ยินบ่อย ก็ดีนะทำให้เราสบายใจมาก ส่วนเรื่องขำ ๆ เขามีเยอะเหมือนกัน
 ................ธนัญธร คนขี้สงสัย โดยเฉพาะเรื่อง ความรัก แกจะเที่ยวถามไป ทั่ว ว่า รักฉันไหม อารมณ์ดีคุยกับลูกสาวไปมาหลายเรื่องแล้วก็ลงท้าย "หนู รักแม่ไหม" กับแม่ยายก็เหมือนกัน คำถาม "แม่รักหนูไหม" นำมาใช้ประจำ แล้วเราก็โดนบ้าง "คุณรักฉันไหม" ถามบ่อยมาก ขนาดนอนเคียงคู่กันอยู่ บนเตียงก็ยังถาม นึก ๆ ไปก็ขำ ๆนะ มันเลยเวลาจะถามว่ารักไหมมานาน แล้ว ใครจะกล้าบอกว่า "ผมรักแม่เฒ่าสุดจิตสุดใจ" เดี๋ยวก็โดนหาว่าล้อไง .
..............ธนัญธร คนรับรู้เชื่องช้า เรื่องการงาน วิชาการ อาจไม่ช้า แต่เรื่อง ถ้อยคำสำนวนภาษา นี่ ช้าเห็นได้ชัด เธอเล่าเองว่า แม่ยายเคยด่าเรื่อง น้อง ชายเชื่อฟังเมียมากกว่าพี่สาวคือตัวเธอว่า "แกพูดกับน้องชาย มันต่างกันกับ ที่เมียเขาพูด ความน่าเชื่อถือมันต่างกัน นั่งพููด กับ นอน พูดคุยกัน มันจะไป เหมือนกันได้อย่างไร หลายวันต่อมา น้องชายมาที่บ้าน แกก็ชวนน้องชาย ไปนอนคุยกัน น้องชายก็เด๋อด๋าว่า มันเรื่องอะไร พอรู้เรื่องเท่านั้นแหละแก หัวเราะขำแทบเยี่ยวเล็ดทีเดียว เรื่องทำนองนี้ ธนัญธร สะสมไว้เยอะ วันหนึ่ง แกก็มีคำถามมาบอกว่า เพื่อนเขาเตือนเธอว่า " ทำดีน่ะดีแล้วแต่ดีอย่างห่าง....." มันหมายความว่าะไร โหแฟนเรา ต้องแอบกระซิบให้ฟัง โกรธใหญ่จะกลับ ไปด่าเขา โธ่มันเย็นชืดแล้ว
..............ธนัญธร คนศรัทธาแก่กล้าจนขวัญอ่อน การไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ฝังลึก ในสายเลือด อะไรที่คิดว่าศักดิ์สิทธิ ไหว้ได้ทั้งนั้น ออกจากบ้าน นั่งรถผ่านศาล พระภูมิ ผ่านเจดีย์ แกไหว้ดะไปหมด เห็นแล้วน่าเลื่อมใสนะ คนอะไรใจบุญกุศล เหลือเกิน เคยลองทดสอบ ชี้ต้นไม้ แกก็ยกมือไหว้ ชี้เครื่องบิน ก็ไหว้ เมื่อไหว้ เสร็จก็หันมาด่าเรา หาว่าเราแกล้ง ก็แค่จะชี้ให้ดู ไปไหว้มันทำไม ยาย
 ............ธนัญธร ปากไวกว่าคิด เช่นแก่กำลังพูดถึงซื้อกางเกงในสวย ๆ ได้ราคา ถูกก็นำมาเล่าให้เราฟัง ใกล้เทียงจะไปทานก๋วยเตี๋ยวกัน นั่งรถไปไม่นานอยู่ ๆ ก็ถามเราว่า"ใส่กางเกงในรึยัง" เราหัวเราะ ถามกลับไปว่า แล้วจะถามไปทำไม แกบอกว่า อยากรู้ร้านมันเปิดไหม่ คนได้ยินขำแต่ห้ามหัวเราะ เลยอยากแกล้งแก บ้าง ข้างทางมีแม่ค้าหอยแมงภู่ สาม โล ร้อย สี่ห้าเจ้า อยากซื้อไปลวกกินที่บ้าน เลยบอกแกว่า "ยาย หอยเน่า ๆสามโลร้อย สักชุดสิ" ได้เงิน รถจอดแกก็เปิดกระจก รถออกแล้วร้องบอกแม่ค้า "แม่ค้า ๆ หอยเน่า ๆ สามโลจ้า" ดีที่วันนั้นแม่ค้าไม่อยู่ อยู่แต่สามี แกทำหน้างง ๆ แต่ก็ขายให้ เขียนถึงภรรยา 2 คน ค่อนข้างยาว โดยเฉพาะคนที่ 2 สามชื่อ เขาอยาก ให้เขียนถึงเขามาก ๆ ก็เขียนให้แล้ว อย่ามาต่อว่าละกัน สวัสดี

นายจำปา ศรีประจง

นายจำปา ศรีประจง - 2516
            

                 ค้นหาภาพเก่า ๆ ในอัลบั้มภาพคอมพิวเตอร์ พบภาพนี้เข้า ต้นฉบับภาพเลอะเลือน ถ่ายมาจากบ้าน คุณยาย ทุม หอมจันทร์ บ้านหนองกองเหนือ กำแพงเพชร เดิมยายทุมแกชื่อ น.ส.ทุม ศรีประจง เพิ่งมาใช้นามสกุลหอมจันทร์ตอนแต่งงานกับ ตามี หอมจันทร์ บ้านโนนสังมีลูกหลานตามมาอีกมากมาย ยายทุมคือลูกสาวคนเล็กของแก ส่วนลูกชายคนเล็กของตาทวดคนนี้ก็คือ นายขุนทอง ศรีประจง ถึงผมจะมีเมีย 2 คน แล้วก็ยังใช้สกุลเดิมอยู่ สรุปว่า เรามีพ่อคนเดียวกันนั่นเอง
                คุณตาแกเป็นคนบ้านแก ตำบลธัญญา อำเภอกมลาไสย จังหวัดกาฬสินธุ์ อาชีพหลักทำนาทำไร่ เป็นคนมีมนุษยสัมพันธุ์ดี เลยมีตำแหน่ง ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านอีกตำแหน่งหนึ่ง ท่านเป็นคนพูดจาโผงผาง แต่จริงใจไม่เอาเปรียบใคร คำสอนที่แกชอบสอนลูก ๆเสมอคือ “จะทำกิจใด ๆ ผิดใจโตแต่ให้ถืกใจเพิ่น” สำนวนอีสาน หมายความว่าอย่าเอาเปรียบคนอื่น ถึงคนอื่นจะได้เปรียบก็ให้เขาไป เวลาแบ่งพูดปลาที่ได้จากการล้อมซุ้ม ปลาเป็นลำเรือ คนกว่ายี่สิบคน แกเป็นคนกำกับดูแลการแบ่ง ให้คนอื่นหยิบเลือกก่อน กองสุดท้ายคือของแก ลูก ๆ แกทุกคนเป็นแบบนี้เสมอ
                 ผมเป็นลูกคนสุดท้องที่คุณตาแกรักมาก แต่ความรักที่แกมีให้ไม่ค่อยมีใครอิจฉาหรอก เพราะโดนดุมากกว่าคนอื่น เพราะชอบหนีเที่ยวประจำ พี่สาวพี่ชายตามตัวไม่ค่อยเจอ กลับมาบ้านแม่โอ๋ เตรียม ของกินไว้ให้เพียบ กินอิ่มแล้วก็หายไปอีก เด็กสมัยโน้น(2492)สี่ขวบ ชอบเล่นกันกลางบ้าน ลานวัด จนพ่อแม่่มาตามถึงเลิก การละเล่นหลายอย่างได้มาจากการเล่นกับเพื่อน ๆ ตอนไปเรียนที่มหาวิทยาลัย เล่าให้เพื่อน ๆ ฟัง เขางงว่าทำไมทางบ้านเขาไม่รู้จัก เช่น เล่นหมากหนอน ไม้หิงอี่ เต้นตาหัวกะโหลก ม้าหลังโปก หมากลี้ ไม้สั้นไม้ยาว เสือกินหมู หมากหาบ ฯลฯ
                อายุห้าขวบต้องเข้าโรงเรียน ตาทวดแกเห่อมาก ไปฝากครูชั้น ป. 1 ไว้ล่วงหน้า แก่ชื่อ ครูชู นิสัยเหมือนตาทวดคือ เสียงดัง ดุ แต่ใจดี แกมาที่บ้านบ่อย เพราะตาทวดขายเหล้าขาว แกจำชื่อพี่สาวพี่ชายได้ทุกคน เวลาแกมาบ้านจึงหลบหน้ากันหมด เว้นผม ชอบแอบมาดูเวลาแกดื่มแล้วเมา พูดคุยกันเอะอะ จำได้บ้างว่าให้เอาลูกคนเล็กไปฝาก ป.เตรียม 3 เดือน ก่อนเปิดเรียน จะช่วยให้เด็กอ่านหนังสือได้ ความจริงผมโดนสอนหนังสือทุกวัน ครูก็คือ ยายทุม นายบัวทอง สองคนนี่ทำตัวเป็นครู สอนวิธีใช้กระดาน ใช้ดินสอปูน ดินสอหิน กอไก่ ฮอนกฮูก เขียนได้ อ่านออก พอเขาเลิกเรียนก็ถามหาน้องชายตามมาสอน จนเราเองก็นึกสนุก เมื่อไปเรียนวันแรก ครูชู แกจำหน้าได้ เรียกออกมายืนหน้าชั้น ถือไม้เรียว ชี้ตามที่แกพาอ่าน แก อ่าน กอไก่ ก็ต้องชี้ให้ถูก ทำได้ครูชมว่าเก่ง ยิ่งชมยิ่งตัวลอย พักเที่ยงยังมายืนชี้กระดานพาเพื่อนอ่านเล่น ครูชูมาเห็นชอบมาก เวลาแกจะนอนก็เรียกเรามายืนหน้าชั้นพาเพื่อนอ่าน กูไม่ตื่นอย่าเลิกนะ จำได้ดีคำสั่งครู บางทีจนระฆังเลิกเรียนแกจึงตื่น ตอนเย็นแกแวะไปบ้าน พ่อเลี้ยงเหล้าทุกวัน สงสัยไปชมลูกชายให้พ่อฟัง ก็ไม่ผิดหวังหรอก เพราะลูกชายสอบได้ที่ 1 ทุกครั้งที่มีการสอบ สมัยนั้นมีสอบ เทอมต้น เทอมกลาง แล้วก็สอบไล่เทอมปลาย ครูชูแกได้กินเหล้าฟรีปีละสามหน ขึ้น ป. 1 จน ป. 4 ก็เป็นคนเอาข่าวมาดีบอก ตาทวดเลยติดนิสัยขี้เห่อลูกชายคนเล็ก พี่สาวพี่ชายก็พลอยเป็นไปด้วย ทำให้ผมเป็นน้องชายที่ทุกคนรักและเมตตา ไม่อยากให้ทำงานหนัก อยากให้ตั้งใจเรียน
          เมื่อไม่ได้ทำงานบ้านเหมือนพี่ ๆ เราก็สนุกเล่น แต่การเล่นเปลี่ยนไปกลายเป็นการเล่นหาจับสัตว์ ต้องฝึกทำธนู หน้าไม้ ทำบ่วง จิ้งจกตุ๊กแกโดนพวกเราล่าทุกวัน เบื่อมากก็เข้าป่า ล่ากบเขียดมาย่างแบ่งกันกิน เก่งขึ้นก็ล่า กะปอม แย้ งูสิง ตอนอยู่ ป. 3 ป.4 พี่ชายสอนวิชาวางเบ็ดปลา เบ็ดกบ วางแงบดักกบให้ด้วย นายดีหมื่น นายบัวทอง สองคนนี่พาไปวางเบ็ดประจำ นายดีหมื่น เป็นญาติลูกผู้พี่ นาติดกัน ไปด้วยกันบ่อย ก็เลยได้วิชาทำมาหากินพวกนี้ติดตัวมา ไว้มีเวลาจะเขียนเล่าให้อ่านเล่น
          เขียนวันนี้เพราะเห็นภาพตาทวดจำปา ศรีประจง แม้ท่านจะจากไปตั้งแต่ปี 2516 ผมเพิ่งบรรจุครูมัธยมครั้งแรก เพิ่งได้รับเงินเดือนสะสม หกเดือน คุณตาก็ป่วย ได้พาไปคลินิคที่จังหวัดเลย หมอบอกเป็นโรคชรา ให้ยามากิน มารู้ทีหลังว่าคนป่วยหนักมากแล้ว จากนั้นไม่นานแกก็จากไป รูปนี้ถ่ายก่อนแกเสียไม่นาน เสื้อสักหลาดสีดำก็คือเสื้อรางวัลนักกีฬาดีเด่น ตราที่กระเป๋า เขียนไว้ว่า “นักกีฬาสามารถ มรรยาทดี จังหวัดชัยภูมิ ปี 2503 เสื้อลูกชายคนเล็กแกได้มาเมื่อเรียน ม.6 โรงเรียนเกษตรกรรมชัยภูมิ ลูกชายบวชเมื่อปี 2510 แล้วไปสึก เมษายน2516 บรรจุเป็นครู 1 พฤษภาคม 2516 ตาทวดแกยึดเสื้อตัวนี้ใช้เป็นเสื้อกันหนาว แม้วันแกนอนในโลงศพ ลูกหลานเห็นว่าชอบมากก็เลยจับมาแต่งให้ คิดถึงตาทวดนะ ถึงไม่ได้อยู่ใกล้ชิด แต่พฤติกรรมที่กระผมทำ เชื่อได้เลยว่าทำให้ตาทวดมีความสุขใจ ยิ่งกว่าการตอบแทนด้วยสิ่งของ ยกตัวอย่าง การสอบได้ที่ 1 ตลอดเวลาที่เรียนระดับประถม สอบได้ที่ 1 ทุกปีที่เรียนระดับมัธยม บวชพระสอบได้ทุกปี นักธรรมตรี, โท, เอก, ปธ.2, ปธ. 3 และ ปธ. 4 สอบวิชาชุด พ.กศ. ใช้เวลา 2 ปี สอบวิชาชุด พ.ม. ใช้เวลา 1 ปี นี่คือตัวอย่าง ช่วงที่ตาทวดยังได้รู้ได้เห็นวีรกรรมของ ลูกชายคนเล็ก กระผมทบทวนดูเรื่องราวหนหลัง ไม่เสียใจที่เกิดเป็นลูกชายตาทวด ได้ทำแต่สิ่งที่ดี ไม่นอกรีตนอกรอย ขอความดีงามที่สะสมมาจงเป็นปัจจัยส่งผลให้คุณตาทวดไปสู่ภพภูมิที่ดีงาม สงบสุขสืบไป

                                                                       ขุนทอง ศรีประจง
                                                                         มิถุนายน  2559






นายขุนทอง ศรีประจง  นางทุม หอมจันทร์ และ น.ส.สาวิตรี ศรีประจง(ลูกสาวหล่าผมเอง)
รูปนี้ถ่ายอยู่บ้านหนองกองเหนือ เด้อ





วันพุธที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2559

ความเชื่อมั่นแบบทดสอบ






2


3
              ผลจากตารางวิเคราะห์คะแนนสามารถนำมาวิเคราะห์หาค่าความเชื่อมั่นแบบทดสอบ
ตามวิธีของ สเปียร์แมน บราวน์  โดยต้องหาค่าความสัมพนธ์แบบทดสอบครึ่งฉบับก่อนด้วยสูตร
หาค่าสหสัมพันธ์ของ เพียร์สัน แล้วค่อยนำค่าที่ได้ไปคำนวนตามสูตรของ สเปียร์แมน  ดังนี้

4
              ตารางวิเคราะห์คะแนน ทดสอบนักเรียน 35 คน แบบทดสอบยาว 40 ข้อ ผล ดังนี้
5
              นำผลที่ได้จากตารางวิเคราะห์ มาคำนวณหาค่าควาเชื่อมั่นแบบทดสอบ ด้วยวิธีของ
คูเดอร์ ริชาร์ดสัน สูตร KR 20  



6  
           ตารางวิเคราห์คะแนนเพื่อหาค่าไปคำนวณด้วยสูตร KR 21 ดังนี้


                 นำผลที่ได้จากตาราง มาคำนวนโดยใช้สูตร KR 21 ปรากฏผล ดังนี้



                  ตารางวิเคราะห์คะแนนแบบทดสอบอัตนัย ความยาว 20 ข้อ นักเรียน 30 คน  เพื่อใช้
คำนวณหาสัมประสิทธิ์อัลฟ่า ดังนี้




วันอาทิตย์ที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2559

วิเคราะห์แบบทดสอบ

วิเคราะห์แบบทดสอบ
...........ลูกหลานเขาทำวิจัยในชั้นเรียน ส่งผลงานโดนตำหนิว่าเครื่องมือประเมินคือแบบทดสอบที่ใช้ คุณภาพไม่ดี พอส่งประกอบผลงานทางวิชาการ กลายเป็นจุดด้อยที่ต้องแก้ไข หลังจากร้องไห้ครบ 7 วัน ก็นึกถึงพระเจ้าตา จุดธูป เทียนบอกกล่าว่าช่วยหนูด้วยคุณตาขา อ้อนซะหวานแหววเลย จึงขอให้ส่งแบบทดสอบและคะแนนที่ได้มาดู โหนังหนู เอ้ย สงสารกรรมการเนาะ อ่านแบบทดสอบไปคงมึนหัวน่าดู มิน่าเขาขอให้แก้ทั้งฉบับ เพราะคำถามไม่รัดกุม ตัวเลือก ดิ้นได้ คำตอบถูกหลายตัวเลือกในคำถามข้อเดียว ไปปรับปรุงตามที่เขาแนะนำ แล้วเอาไปให้ผู้เชี่ยวชาญช่วย ดูก่อนเอาไปใช้ สิ่งที่หนูต้องหาค่าแบบทดสอบฉบับนี้ได้แก่
............1. ความเที่ยงตรงในการวัด
............2. ความยาก-ง่าย ของแบบทดสอบ
............3. อำนาจจำแนกแบบทดสอบ รายข้อ รายตัวเลือก
............4. ความเชื่อมั่นแบบทดสอบ
...........ถ้าหนูมีคำตอบให้ทั้ง 4 ข้อ ก็แสดงว่าหนูได้ประเมินคุณภาพของแบบทดสอบก่อนแล้ว นำไปใช้ในงานวิจัยในชั้นเรียน ผลที่ได้ก็น่าเชื่อถือและยอมรับได้ แต่ที่ทราบ หนู่ไม่มีคำตอบซักอย่างเลย เอามาใช้ดื้อ ๆ ส่งงานวิจัยชั้นเรียนไปถึงถูกตีกลับ ไงล่ะ เอาละเมื่อหนูได้ปรับปรุงแก้ไขคำถามตัวเลือกแบบทดสอบแล้ว ต่อไปวานผู้เชี่ยวชาญช่วยประเมินให้ คือหาคำตอบข้อ ที่ 1 ไง เขาเรียกการหาค่า I.O.C. (Index of Item – Objective Congruence) ดัชนีความเทียงตรงการวัดจุดประสงค์
             ให้หนูทำตารางจุดประสงค์การเรียนที่ออกข้อสอบวัด ว่าข้อนั้น ออกข้อสอบกี่ข้อ แล้วตีตารางให้คะแนนไว้ด้านขวามือ 5 ช่อง กรรมการ 5 คน ให้คะแนน +1 ถ้าเห็นว่าวัดตรงจุดประสงค์ ให้คะแนน 0 ถ้าไม่แน่ใจ ให้คะแนน - 1 ถ้าเห็นว่าวัดไม่ตรง จุดประสงค์ ผู้เชี่ยวชาญ 5 คน คือ คนที่สอนวิชาเดียวกันดีที่สุด ได้คะแนนมาก็หาค่าเฉลี่ย รายข้อ รายตัวเลือก อาจต้องทำ หลายครั้งจนกว่าจะได้คำถามและตัวเลือกที่มีดัชนีความเที่ยงตรงถึงเกณฑ์ที่ยอมรับได้ เลือกเอาซัก 0.5 ขึ้นไป
............ต่อไปหนูก็นำแบบทดสอบ ไปหาค่าความยากง่าย และหาค่าอำนาจจำแนก ตามข้อ 2 และ 3 โดยนำไปทดสอบกับ นักเรียนที่เรียนวิชานั้นมาแล้ว ซัก 3 ห้อง แล้วนำมาวิเคราะห์ ดู
............ความยากง่าย ของตัวเลือกที่ ถูก ดูที่เปอร์เซ็นต์คนตอบถูก คนตอบถูกมากเพราะง่าย ตอบถูกน้อยเพราะยาก อาจตั้งเกณฑ์พิจารณา ดังนี้ (ตั้งเกณฑ์อื่นก็ได้ ลองอ่านเอกสารตำราวัดผลประเมินผลดู)
            ร้อยละ 81-100 ง่ายเกินไป
            ร้อยละ 66-80 ค่อนข้างง่าย
            ร้อยละ 36-65 ปานกลาง
            ร้อยละ 20-35 ค่อนข้างยาก
            ร้อยละ 1-19 ยากเกินไป
.............ความยากง่ายของตัวลวง คำถามแต่ละข้อ มีตัวลวงหลายตัว เราสมมติในใจแล้วว่า น่าจะมีคนตอบผิดทั้งกลุ่ม ไม่เกิน ร้อยละ 19 ที่หลงมาเลือกตัวลวง ร้อยละ 80 เขาตอบถูก ถ้ากระนั้นจะกระจายดูว่า ลวงได้ 19 เปอร์เซ็นต์ แสดงวาลวงเก่งมาก มีคนตอบน้อยกว่านั้น ก็ลวงได้น้อย ตัวลวงที่ดีควรมีคนตอบประมาณร้อยละ 4-19  จัดเป็น 5 กลุ่ม ดังนี้
              ร้อยละ ระหว่าง 0.16-0.19 ลวงได้ดี
              ร้อยละ ระหว่าง 0.12-0.15 ค่อนข้างดี
              ร้อยละ ระหว่าง 0.08-0.11 ลวงได้ปานกลาง
              ร้อยละ ระหว่าง 0.04-0.07 ลวงได้น้อย ปรับปรุง
              ร้อยละระหว่าง 0.00-0.03 ลวงไม่ดี ปรับปรุง
.............วิเคราะห์หาค่าอำนาจจำแนก ต้องแบ่งนักเรียนเป็นสองกลุ่ม นำคะแนนมาจัดลำดับสูงสุดไปหาต่ำสุด แบ่งครึ่ง เป็นกลุ่มเก่ง กลุ่มไม่เก่ง แล้วนำผลการตอบไปกรอกลงในตารางวิเคราะห์ค่า p ค่า r นำผลที่ได้ไปคำนวณตามสูตรการหาค่า p ค่า r กรอกตัวเลขเป็นค่าของตัวเลือก ค่า p ที่ได้จากการคำนวณ ถ้าคูณด้วย 100 ก็คือค่าร้อยละ แปลผลตามเกณฑ์ข้างบน นั่นแหละ ส่วนค่า r ต้องหาเกณฑ์มาแปลผลใหม่ เพราะยังไม่ได้พูดถึง
…………...ค่า r คืออำนาจจำแนก จำแนกได้ว่านี่คือคนเก่ง นี่คือคนไม่เก่ง เรียกว่า อำนาจจำแนก ตัวเลือกที่ ถูก คนเก่งตอบ มาก คนไม่เก่ง ตอบน้อย ผลต่างระหว่างสัดส่วนกลุ่มเก่งกับกลุ่มไม่เก่ง มีค่าเป็น บวก ส่วนตัวลวง คนเก่งตอบน้อย คนไม่เก่ง ตอบมากกว่า ผลต่างสัดส่วนมีค่า ลบ  ตัวอย่าง นักเรียน เก่ง 50 คน ไม่เก่ง 50 คน ตอบข้อสอบข้อที่ 1 ดังนี้
                   กลุ่มเก่ง ตอบตัวเลือก         ก = 45 ข =    3  ค = 1     ง = 1
                   กลุ่มไม่เก่ง ตอบตัวเลือก     ก = 25 ข = 12   ค = 10   ง = 3
รวมจำนวนผู้ตอบทั้งหมดตอบตัวเลือก   ก = 70   ข = 15 ค =11    ง = 4
............ค่า p หาได้จากสัดส่วนผู้สอบทั้งหมด ตอบตัวเลือกนั้นกี่คน ดังนั้นจึงหาได้จาก จำนวนคนตอบทั้งเก่งไม่เก่ง ตอบตัวเลือก ก 70 คน ตัวเลือก ข 15 คน ตัวเลือก ค 11 คน ตัวเลือก ง 4 คน หารด้วยจำนวนผู้เข้าสอบ 100 คน ผลที่ได้ออกมาเป็นค่า สัดส่วนคือ ก = 0.70 ข. = 0.15 ค= 0.11 และ ง =0.04 สัดส่วนนี่ก็คือ ค่า p ของแต่ละตัวเลือก เอาไปเทียบตาราง แปลผลได้เลย   ถ้าจะเทียบร้อยละเอา 100 คูณสัดส่วน แล้วแปลผลตามตัวอย่างข้างบนก็ได้ 

.............ตัวอย่างการคำนวณค่า r ใช้ผลอันเดียวกับการหาค่า p แต่หาค่า r จะใช้สัดส่วนของกลุ่ม เก่ง เทียบสัดส่วนของกลุ่มไม่ เก่ง ดังนั้นจึงใช้จำนวนผู้ตอบ หารด้วยจำนวนคนในกลุ่มก่อน ค่อยนำมาเปรียบเทียบกัน เช่น
                                      เก่ง ตอบตัวเลือก   ก = 45 ข = 3 ค = 1 ง = 1
        คำนวณสัดส่วนหารด้วย 50 ได้ผลคือ   ก = 0.90 ข = 0.06 ค = .020 ง = 0.02
                                    ไม่เก่ง ตอบตัวเลือก ก = 25 ข = 12 ค = 10 ง = 3
        คำนวณสัดส่วนหารด้วย 50  ได้ผลคือ  ก = 0.50 ข = 0.24 ค = 0.20 ง =0.06
ผลต่างสัดส่วนผู้ตอบกลุ่มเก่งลบด้วยกลุ่มไม่เก่ง เท่ากับ 
                ก 0.90 - 0.50 = 0.40
                ข. 0.06 - 0.24 = -0.18 ค่าติดลบ
                ค. 0.02 - 0.20 = -0.18 ค่าติดลบ
                ง. 0.02 - 0.06 = -0.04 ค่าติดลบ
               ผลต่างที่ได้จากการเทียบสัดส่วนก็คือค่า r ของตัวเลือก 2 ชนิด ตัวเลือกที่ถูกคือ ก คำนวณได้ 0.40 ตัวเลือกที่เหลือ ค่าติดลบทุกตัวเลือก ถือเป็นค่าปกติ ไม่ต้องไปปรับแก้อะไร ถ้าไปเทียบเกณฑ์การแปลผล จะเป็นตัวลวงที่ใช้ได้ เพราะธรรมชาติ ตัวลวง จะลวงคนเก่งได้น้อย ลวงคนไม่เก่งได้มากกว่า เมื่อหาสัดส่วนออกมาผลจึงติดลบ ในตำราวัดผลประเมินผล เขาให้เกณฑ์การอ่านค่า r ดังนี้
                 ค่า r .40 ขึ้นไป หมายความว่า จำแนกได้ดีมาก
                 .30 - .39 หมายความว่า พอใช้ แต่ควรปรับปรุง
                 .20 - .29 หมายความว่าจำแนกน้อย ควรปรับปรุง
              ต่ำกว่า .19 หมายความว่าจำแนกกไม่ดี ไม่ควรใช้
             ค่าที่บอกเป็นค่าสำหรับแปลผลตัวเลือกที่ถูก อย่านำไปใช้แปลผลตัวลวง เราอาจตั้งเกณฑเอาเอง จากสมมติฐาน ที่ว่ากลุ่มนักเรียนปกติ จะมีคนที่อ่อนมากต่ำกว่าร้อยละ 20 นั่นคือร้อยละ 19 ลงมา แล้วเราก็นำจำนวนร้อยละ 19 นี้มากระจาย 5 กลุ่ม คือ จำแนกไม่ดี จำแนกน้อย จำแนกปานกลาง และจำแนกได้ดีเยี่ยม ก็จะได้สัดส่วนช่วง ละ 4 แต้มคือ
                ค่า r ระหว่าง 0.16-0.19 จำแนกได้ดีมาก
                ค่า r ระหว่าง 0.12-0.15 จำแนกได้ดี
                ค่า r ระหว่าง 0.08-0.11 จำแนกได้ปานกลาง
                ค่า r ระหว่าง 0.04-0.07 จำแนกได้น้อย
                ค่า r ระหว่าง 0.00-0.03 จำแนกไม่ดี
หมายเหตุ
.............1.  สถิติที่ใช้ในการคำนวณ ค่า IOC = คะแนนรวมผู้เชี่ยวชาญรายบุคคลทุกคน หารด้วยจำนวนผู้เชี่ยวชาญทั้งหมด
 ............2. สูตรหาค่า p = (จำนวนผู้ตอบกลุ่มเก่ง + จำนวนผู้ตอบกลุ่มไม่เก่ง)/หารด้วย จำนวนนักเรียนทั้งสองกลุ่ม 
..............3.สูตรหาค่า r = (สัดส่วนกลุ่มเก่ง) - (สัดส่วนกลุ่มไม่เก่ง)
               สัดส่วนกลุ่มเก่งคือ จำนวนผู้ตอบกลุ่มเก่ง หารด้วย จำนวนนักเรียนในกลุ่มทั้งหมด
               สัดส่วนกลุ่มไม่เก่ง คือ จำนวนผู้ตอบกลุ่มไม่เก่ง หารด้วย จำนวนนักเรียนกลุ่มไม่เก่งทั้งหมด
................เป็นไงอ่านไหวไหม นี่แค่หาค่าความเที่ยงตรง หาค่าความยากกง่าย และหาค่าอำนาจจำแนก เท่านั้นนะ ยังไม่ได้หาค่าความเชื่อมั่นแบบทดสอบ เอาไว้ตอนต่อไปละกัน เพราะต้องใช้ค่าสถิติค่อนข้างเยอะ


       

ปล. ส่งทางอีเมลให้แล้วนะ ถ้ายังไม่พอให้เข้าไปดูเวบบลอคเพิ่มเติมได้
http://nrongnu59.blogspot.com/