วันอาทิตย์ที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

คล้ายวันเกิดตา

...................คล้ายวันเกิด ขอบคุณครับ.........................

------------------------------
..........วันเกิดผ่านมาเจ็ดสิบสองปีแล้ว ครบวันคล้ายวันเกิดปีนี้เงียบเหงาเช่นทุกปี เพราะไม่ได้เปิด
เฟสบุ้ค เปิดแค่ ไลน์ มีคนที่จำได้อวยพรมาบ้างไม่ถึงสิบคน เหมือนปีที่ผ่าน ๆ มา ทุกครั้งที่ครบรอบ
วัน ทำให้เรานึกถึงความหลัง ว่า เราเกิดมาจากที่ถิ่นไหน อ๋อ บ้านแก กมลาไสย กาฬสินธุ์ จบประถม
แล้วพ่อแม่พาอพยพไปอยู่ บ้านหนองลุมพุก หนองบัวลำภู จบ ม. 3 ที่โรงเรียนโนนสังวิทยา รุ่น 2500 
เก๋ามาก พ่อให้ไปเรียน ต่อจบ ม. 6 ที่ โรงเรียน เกษตรกรรมชัยภูมิ 3 ปี อายุ 16 ขวบ สอบบรรจุเป็นครู
กับเพื่อน ๆ ไม่ได้ โทษที่ ชอบเข้าเรียนก่อนเกณฑ์ อยู่บ้านช่วยพ่อแม่ทำนาทำไร พ่อแม่ให้บวชก่อน
จะให้แต่งงาน ตกลง 1 พรรษา แต่ชอบที่ได้ศึกษาพระธรรมวินัยบวชเพลิน จนจบ นักธรรมเอก แถม
สอบ ได้เปรียญสี่ประโยคสอบเทียบวิชาชุดครูได้ พ.กศ. และ พ.ม. จากนั้นก็เปลี่ยนมาสอบ บรรจุเป็น
ครูจนเกษียณเมื่อปี 2547 เฮ้อ......เหมือนเพิ่งปลดผ่านไปไม่นาน...แค่ 12 ปี ขอบคุณทุกคนที่ให้กำลัง
ใจบทกลอนนี้เขียนส่งให้อ่านทางไลน์ไปแล้ว เมื่อ 1 มิถุนายนพอเปิดเฟสใหม่ หาเรื่องมาลง เจอกลอน
ชุดนี้เข้า ก็เลยหยิบมาลงเฟสบ้าง ใคร ได้พบ ทนอ่านหน่อยนะครับ เพราะผมเป็นคนพูดมาก ก็เลยมีข้อ
เขียนยาว ๆ ด้วย .
...วันเกิดเลิศดิถี.........บุญยังมีส่งสืบผล
ก่อเกิดมาเป็นคน.......พ่อแม่ให้ใจแลกาย
เป็นครูสอนนอนนั่ง....ลุกระวังยามผันผาย
ดูแลมิคลาคลาย........จนเติบใหญ่ให้ร่ำเรียน
สามปีก่อนประถม......แม่ชื่นชมหัดอ่านเขียน
มินานเมื่อพากเพียร..เข้าประถมอีกหกปี
มิพออีกหกชั้น..........ล้วนสำคัญนวลฉวี
ใส่ใจเรียนให้ดี..........ยังต้องต่อปริญญา
นับปีก็สิบเก้า............อายุเรานับพรรษา
ยี่สิบสองเชียวนา......ตั้งหลักได้มีการงาน
พ่อแม่ดีใจมาก.........สมลำบากมิเคยขาน
ยากเย็นแต่ใจบาน....ลูกสุขสมแม่ยินดี
วันเกิดนึกถึงแม่........ยากจักแลหม่นหมองศรี
พ่อแม่วายชีวี............ทั้งสองท่านล่วงลับไป
เหลือเพียงเถ้ากระดูก..ช่วยเตือนลูกดังจักไข
แทนคุณยากอันใด....พ่อแม่อยู่กับตัวเรา
เลือดเนื้อมาจากท่าน..บริบาลอย่าขลาดเขลา
ละชั่วมิมัวเมา.............เพ็ญกุศลสัมปทา
สะสางจิตสะอาด.........ปราศกิเลสนี่แหละหนา
สั่งสมมวลปัญญา.........ล้วนเป็นคุณแก่ตัวตน
ผู้ใดทำฉะนี้................แม่เปรมปรีดิ์มิสับสน
พ่อปลื้มเปรมกมล.......เป็นกุศลแม้ลับไป
วันนี้คล้ายวันเกิด........พรประเสริฐที่หลั่งไหล
ภรรยามอบน้ำใจ........พวกบุตรหลานมากไมตรี
ญาติมิตรมีพรเลิศ........คำประเสริฐส่งเสริมศรี
อายุวรรณะมี...............สุขังโสภิญโญพร
ขอบคุณแม่แลพ่อ.......นวลลออศรีสมร
เธอชื่อธนัญธร............ขอบใจลูกล้วนผูกพันธ์
ขอบคุณมวลญาติมิตร...พลังจิตที่สร้างสรรค์
ฝากพรคืนเช่นกัน........ขอทุกท่านสบสุขเทอญ ฯ
..........
kht 1 /6/2559

ไปวัดจำศีล



...........................จำศีล.....................
----------------
...............พ่อตา ๆ ไปวัดจำศีล คือทำอย่างไร ลูกหลานเรียน มัธยมต้น จะเขียนรายงานส่งครู หัวข้อ
"ไปวัดจำศีล" สมัย ก่อนไม่ใช่เรื่องยาก รู้จักกันทุกครอบครัว แต่เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยจะมี คนไปวัดจำศีล
ขนาดวัดก็ลืมไปแล้ว ว่าการจำศีลเป็นกิจกรรม ชาวพุทธ โดยเฉพาะอุบาสกอุบาสิกา วันพระแปดค่ำ
สิบสี่สิบห้า ค่ำ นิยมไปวัดจำศีลกัน ผมบวชเมื่อ พ.ศ. 2510 ยังทันกิจกรรม ไปวัดจำศีลอยู่ เมื่อลูกหลาน
มาถาม เลยบอกได้ว่าคืออะไร และ ทำอย่างไร
.............จำศีลก็คือปฏิบัติรักษาศีลมิให้ขาด นิยมไปรักษาศีลกัน ที่วัด มีพระช่วยแนะนำ มีเพื่อนร่วมกิจกรรมมากหลายไม่เหงา แล้วยังได้ฟังเทศน์ด้วย ดังนั้นเมือถึงวันพระ ชาวบ้านจิงนิยม ไปทำบุญ
แล้วถือโอกาสรักษาศีล นอนค้างที่วัด 1 คืน เลยเรียก กันว่า "จำศีล" คือไปนอนที่วัดด้วย รักษาศีล
ด้วย นั่นเอง
............ไปจำศีลไม่จำกัดอายุ ไม่จำกัดเพศ ส่วนมากก็ผู้ใหญ่ คนแก่ วัดรับได้กี่คน ก็เต็มศาลานั่นแหละ
แต่เท่าที่เห็นสัก 10 คน ถือว่าเยอะแล้ว ถึงวันพระตื่นเช้าทำวัตรสวดมนต์ สมาทานศีลห้า แผ่เมตตา
แล้วไปอาบน้ำแต่งตัว จัดข้าวของไปนอนค้างที่วัด บางที ก็มีลูกหลานไปส่ง ไม่ก็เดินไปเอง เจอเพื่อน
ฝูงก็เดินไปด้วยกัน ไป ถึงวัดมรรคทายกจะนำพาสวดมนตร์ทำวัตรเช้า เสียงดังจนพระรู้ ท่านจะลงมา
ให้สมาทานศีลอุโบสถ บางวัดก็เทศน์แนะนำการจำศีล ว่า ศีลอุโบสถก็คือศีลแปดข้อ ที่ต้องตั้งใจรักษา
มิให้ขาดตลอดเวลา อยู่จำศีล จนวันรุ่งขึ้น ตอนเช้าค่อยลาศีลแปดแล้วรับศีลห้ากลับบ้านไป จากนั้น
ก็ปล่อยให้ไปฝึกสมาธิ เดินจงกรม ตามอัธยาศัย
............วันพระชาวบ้านออกมาทำบุญตักบาตร ลูกหลานเราก็เตรียม ไทยทานมาให้เราทำบุญด้วย ก็
มาร่วมกิจกรรมถวายทาน จนเสร็จ ก็ขอรับอาหารที่เหลือจากพระมาร่วมรับประทานกัน ชาวบ้านเขารู้
ช่วยจัดแยกเป็นสำรับ ๆ ให้เลย รับประทานอาหารเสร็จ ก็เป็นช่วง รักษาศีล ศึกษาปฏิบัติสมาธิ บางวัด
ก็มีพระอาจารย์ลงมาช่วยแนะนำ วิธีนั่งสมาธิวิปัสสนา บางวัดก็แสดงพระธรรมเทศนา ช่วงเพลก็หยุด
อาหารเที่ยงส่วนมากงดกัน ช่วงบ่ายก็ฝึกสมาธิตามลำพัง ตอนเย็น ฟังเทศน์และถวายน้ำปานะ ทำวัตร
เย็น ฝึกสมาธิและพักผ่อน
.............เช้าวันรุ่งขึ้น ตื่นเช้าทำวัตรเช้า บอกลาศีลอุโบสถและขอ รับศีล 5 แล้วลากลับบ้าน เป็นอัน
จบกิจกรรม "ไปวัดจำศีล" รอวันพระ ถัดไปก็มาจำศีลกันอีก คำขอศีล และศีลที่เป็นภาษาบาลี มีมาก
มายทั้ง เป็นหนังสือที่วัดทำแจก หรือจะค้นหาในอินเตอร์เน็ตก็มีหาไม่ยาก เลยไม่บันทึกไว้ เพราะจะ
ยาวเกินไป
............ก่อนจบ ขอบอกให้ทราบว่า รักษาศีลคือการปฏิบัติตนด้วยความระมัดระวังมิให้ผิดไปจากเรื่อง
ที่ศีลห้ามไว้ เช่นศีลข้อ 4 ห้ามพูดปด ก็ระวังปากให้ดี ด่าก็ศีลขาดนะ เพราะคำด่า ล้วนแต่เป็นเรื่องเท็จ
สังเกต ดูก็รู้เองว่าทำไมด่าจึงศีลขาด สถานที่รักษาศีล ใช้ได้ทุกสถานที่ที่เราอยู่บ้าน โรงเรียน ที่ทำงาน
ชุมชน เวลาที่ปฏิบัติ ก็ตลอดเวลาที่ยังไม่หลับ ตื่นมากลางดึกก็รักษาศีลต่อ แบบพระเณรท่านรักษาศีล
กันนั่นแหละ อย่างนี้ ถึงจะป็นการรักษาศีลอย่างที่พระพุทธเจ้าท่านสอนไว้ แล้วยังจะได้ อานิสงส์แห่ง
การรักษาศีลที่พระบอกทุกครั้งที่รับศีลว่า "สีเลน สุคติง ยันติง พวกเธอ จะดำเนิน(ชีวิต)ถึงสุคติได้
เพราะศีล สีเลน โภคสัมปทา พวกเธอ สามารถสั่งสม โภคะสมบัติ ได้ดี ก็เพราะศีล สีเลน นิพพุติง
ยันติ พวกเธอ จะดำเนินชีวิตจนถึงความดับทุกข์ได้เพราะศีล) ตัสมา สีลัง วิโสธ เย ด้วย เหตุนี้ จึง
สมควรที่พวกเธอจะรักษาศีลให้ดี
----------------------------

คอนโดหมา





................................คอนโดหมา...............................................

.............ผมเป็นคนชอบเลี้ยงหมา แต่ไม่ชอบเรียกมันว่า "สุนัข" หมาน่ะคำไทยครับ ส่วนสุนัขคำบาลี
สุ แปลว่า งาม นข แปลว่า เล็บ สุนัขจึงแปลว่า "ผู้มีเล็บงาม" แต่ดูยังไงก็สู้คำไทยไม่ได้ หมา สะใจดี
ผมมาอยู่แปดริ้วเมื่อปี 2487 ที่บ้านเขามีหมา 1 ตัว ชื่อนังหมี ตัวโต ขนสีดำสนิท สง่า สวย อยู่ไม่นาน
มันก็ท้อง ไม่เกี่ยวกับ ผมนะ มันชอบเที่ยวนอกบ้าน แฟนเยอะ เห็นวิ่งตามเป็นชบวนรถเลย ทีเดียว
แม่ยายบอกครอกแรกของมัน มี 9 ตัว คนนั้นขอ คนนี้ขอ เพราะ หมาน้อยมันน่ารัก เหลือไว้เลี้ยงเอง
ตัวเดียว คือเจ้า"บึ๊ก"นั่นเอง รูป ร่างหน้าตาสีขน เหมือนนังหมีแม่มันคือ ดำสนิท
.............ยายที่บ้านเป็นพยาบาลโรงพยาบาลประจำจังหวัด ห่างจาก บ้านประมาณ 1.5 กิโลเมตร มี
เพื่อนฝูงคนรู้จักมากมาย วันหนึ่งมีรุ่นน้อง มาเยี่ยมอุ้มน้องมาฝากเลี้ยง บอกว่าพ่อแม่มันทะเลาะกัน
ไม่มีใครยอม ให้น้องอยู่ด้วย สงสาร เลยเอามาให้พี่ช่วยเลี้ยง เราก็ตกใจเอาลูกเขามา ฝากเลี้ยงได้
ไง เดี๋ยวก็ติดคุกหรอก พอออกมาดูปรากฏว่าเป็นลูกหมาน่า รักเชียว ขนปุกปุยสีขาว ก็เลยรับเลี้ยงไว้
เขามีชื่อเดิมของเขาว่า "คุ้กกี้" ดูเหมือนยายจะชอบมาก เอาไปนอนกอดทุกวันจนเราหมั่นไส้ ทีคน
ไม่เห็นชอบมากแบบชอบหมาเลย(อิจฉาหมาน่ะ)
.............น้องชายยายเป็นอาจารย์อยู่ ม.รังสิต มาเยี่ยมพี่สาวพร้อมลูกหมา พันธุ์อะไรไม่รู้ บอกเห็นพี่
สาวรักหมาเลยเอามาฝาก นักศึกษามันทิ้งไว้ที่ หอพัก ไม่เอากลับด้วย สงสารมันเลยเอามาให้ หน้า
ตามันดุใสซื่อ คล้าย เป็นโรคซึมเศร้าทักทายก็เฉย ๆ ยายก็เป็นห่วงเกรงมันจะไม่สบาย ถามว่า มัน
ชื่ออะไร น้องเขาบอกชื่อ "บั๊ก" หน้าตาคล้ายหมาพันธ์ุพื้นบ้าน ขนสีน้ำ ตาลออกแดง หน้าตาเศร้า ๆ
มันคงคิดถึงเจ้าของเดิม เลยไปหยิบขนมปัง มายื่นให้ แหมแกว่งหาง ทำหน้ายิ้มเข้ามาหาเชียว นี่
แสดงว่าไม่ได้ซึมเศร้า หรอก แค่หิว ๆ เอง
........ลูกสาวเรียนอยู่ ม.รังสิต หอบหมาใส่รถมาตัวหนึ่ง เป็นหมาพันธุ์ฝรั่ง ชาติไหมจำไม่ได้ ตัวเมีย
ขนสีดำแซมสีขาวที่คอและหาง บอกหนูจะเลี้ยง มันน่ารักมาก เห็นหอบถุงอาหารเม็ดมาด้วย เขา
บอกมันชื่อซูการ์ ท่าทาง ขี้เล่นไม่ดุ นึกขำในใจว่าจะเลี้ยงได้กี่วัน เปิดเรียนก็ลืมหมาแล้ว คนเลี้ยง
ก็คือเรา ก็ต้องปรับตัวมากหน่อยนะ ซูการ์ หมาบ้านนี้คนเลี้ยงเป็นเด็กวัด เลี้ยงหมาวัดคราวละหลาย
สิบตัว ให้กินข้าวคลุกน้ำแกง แต่เราหุงปลายข้าว ต้มโครงไก่คลุกให้กิน ซูการ์มาดม ๆ กินใหญ่ ไม่หยุด ลืมอาหารเม็ดไปเลย ต่อมาซูการ์ท้อง คลอดออกมา 9 ตัว สวย ๆ ทั้งนั้น แม่ยายไม่ให้เลี้ยง ครอก
แรกให้คนอื่นไปหมด ครอกที่สอง สงสัยมันไม่พอใจที่ให้ลูกมันแก่คนอื่น ไปเลี้ยงมันเลยคลอดให้ลูก
สาวโทน แถมสีขาวด้วย ซนมาก จนได้ชื่อว่า อีหนูซู่ซ่า
...............วันเกิดแม่ ลูกสาวเอาของขวัญมาฝาก เปิดกล่องมาเป็นลูกหมาตัว เล็ก ๆ เขาบอกชื่อพันธุ์
มันอยู่แต่เราไม่จำเอง ตัวนี้ชื่อ ซูโม่ ยายรักมาก ทั้งอุ้ม ทั้งเอาไปนอนด้วย ไม่นานสงสัยเจ้าบึ๊กหมั่นไส้
เลยกัดตายคาปาก สงสาร มัน ยายทำบุญตักบาตรให้มันด้วย ส่วนศพเราจัดการให้ ฝังไว้ใต้นต้นลำดวน
ข้างบ้านไปดีเถอะอ้ายหนู หมดเวรหมดกรรมแกแล้ว ชาติหน้าเกิดให้มันดี กว่าเป็นหมาด้วยละกัน
................ซูโม่ ตาย ยายด่าอ้ายบึก จนคอแหบแห้ง อ้ายบึ๊กมันยิ้มเฉย แกว่ง หางด้วย แต่คนที่หูชา
คือเรา ก็เห็นเป็นหมาอยู่บ้านเดียวกัน กินข้าวหม้อเดียว กัน อะไรจะกัดกันถึงเลือดตกยางออก หมา
จริง ๆ ไม่นานลูกสาวก็ซื้อลูกหมา พันธุ์เล็ก ๆ เหมือนซูโม่มากฝาก มีป้ายห้อยคอบอกชื่อ ฟาโรห์ โอ้
โฮ ยายชอบ มาก หอมแล้วหอมอีก เหมือนเดิมเอาไปนอนด้วย อาหารเม็ด ขนมปัง ลูกชิ้น เจ้านี่มัน
ทำบุญด้วยอะไรนะ รวยของกินเหลือเกิน หมั่นไส้มาก ๆ จึงทักว่า ยาย บาปกินหัวนะ เอาชื่อกษัตริย์
มาตั้งเป็นชื่อหมา ถ้าไม่เปลี่ยน ต้องใช้คำ ให้ถูกกาละเทศะ เช่น ท่านฟาโรห์.....เชิญเสด็จมาเหวย
ขนมปัง แล้วก็ ประทมเงียบ ๆ ซะ" ประมาณนี้ สงสัยคงเห็นด้วย มันเลยได้ชื่อใหม่ว่า ทาโร่
..............เดิมทีเราเลี้ยงหมาขังกรง มีเพิ่มมาก็ซื้อกรงเพิ่ม จนดูไม่เรียบร้อย ทำความสะอาดยาก แหม
เราไม่ได้เลี้ยงหมาไว้ขายนี่นา หาที่มันสะดวก ๆ หน่อยก็ดี พอดีข้างบ้านเป็นแคมป์คนงานก่อสร้าง เขาเคยสร้างบ้านหลัง ที่เราอยู่ปัจจุบันนี่แหละ เลยวานเขาช่วยสร้างกรงหมาให้ห้าห้อง ทำเป็น ห้องแถว
สูงซักสองเมตร แบ่งครึ่งช่วงล่างก่ออิฐบลอค ช่วงบนติดตาข่าย ลวดให้ลมโกรก หลังคาสังกะสั หลัง
ห้องทำร่องระบายน้ำ เวลาล้างกรง ให้นำไหลลงท่อระบายน้ำ แล้วติดผ้ามุ้งกันยุงให้ ติดสปริงเกอร์รด
น้ำ เวลาอากาศร้อนและใช้ล้างกรงด้วย ในที่สุดก็เป็นกรงหมา 5 กรง ที่ผม เรียกว่า คอนโดหมานั่นเอง
---------------------
10/6/2559

บ้านของเรา



บ้านของเรา
นาน ๆ เจอคนรู้จักกันมักถูกถามว่า อยู่ที่ไหน ไปงานปีใหม่พบหลายคน ถามคล้าย ๆ กัน
จนคิดว่าน่าจะเขียนถึงบ้าน แล้วพิมพ์แจกน่าจะดี ด้วยเหตุนี้ ข้อเขียนหัวข้อ บ้านของเราจึงเกิด
ขึ้นด้วยประการะฉะนี้ ป้ายหน้าบ้าน ที่ผมอยู่อาศัยปัจจุบัน (2559)คือบ้านเลขที่ 28/68 ถนน
ศรีโสธรตัดใหม่ อ.เมือง จ.ฉะเชิงเทรา เนื้อที่ประมาณ 3 งานเศษ ครับ เจ้าบ้านอรภา ณรงค์หนู
ปัจจุบัน คือ น.ส.ธนัญธร ณรงค์หนู ลองนึก ๆ ดูก็ร่วมสิบปีแล้ว ที่อาศัยอยู่ที่นี่
............. บ้านชั้นเดียวยกพื้นสูงประมาณ 1.20 เมตร ปูพื้นด้วยกระเบื้อง ลายหินแกรนิต
ไม่ต้องใช้ไม้พื้น ผนังก่ออิฐฉาบปูน ด้านในกรุด้วยไม้อัดสัก ตอนนี้เปลี่ยนเป็นกระเบื้องหมด
เพราะปลวกรุกราน มีห้องนอนสอง ห้องน้ำสอง ห้องครัวหนึ่ง ห้องพระหนึ่ง ห้องโถง
ใช้ สองห้องเปิดโล่งหากัน ติดกระจกโค้งห้องหนึ่ง ทำให้มองเห็นข้างนอกได้ผ่านกระจก
เป็นที่ สำหรับให้ ตานั่งเล่นคอมพิวเตอร์ และรับแขก ติดตั้งอินเตอร์เนตความเร็วสูง
15 เมกกะบิต พร้อม WIFI เล่นอยู่คนเดียวนั่นแหละ เพราะไม่ชอบไปเที่ยวที่ไหน
ดูภาพประกอบแล้วกัน
............. นอกบ้านมีบ้านพักหลังเดิมที่ตาไม่่ให้รื้อ เสียดายเลยเก็บไว้ อยู่ด้านหลัง
โรงรถที่มีหลังคามีไม้เลื้อยปกคลุม โรงรถเดิมใช้เก็บรถ CITY ตอนนี้มีคนมาขอเช่า
และขอใช้โรงรถด้วย อีกด้านหนึ่งเป็นโรงรถสำหรับเก็บ MU-7 ช่วงกลางคืนหมา
จะมาชุมนุมที่นี่ เพราะพื้นปูนมันเย็นสบาย และแอบใช้ยางรถเรา เป็นโถเยี่ยวพวกมัน
ต้องล้างทุกเช้าที่มารดต้นไม้
............. รอบ ๆ บ้าน คนออกแบบผังบ้านเขาทำเป็นถนนเล็ก ๆ คดเคี้ยวไปมา ปลูกหญ้า
ญี่ปุ่น ต่อมาได้ปรับเป็นสวนหย่อมลงไม้ดอกไม้ประดับจนเดียวนี้กลายเป็นเขาคีรีวงกต
ไปแล้ว ติดตั้งระบบให้น้ำด้วยสปริงเกอร์รอบบ้าน ช่วยให้รดน้ำทั่วถึงได้ง่าย เปิด
สปริงเกอร์สัก 15 นาทีก็ปิด เดินตรวจดูตรงไหนยังไม่เปิยกดีสายยางฉีดน้ำเพิ่มให้
ชั่วโมงเดียวก็เรียบร้อย ดังนั้นรอบบ้านจึงมีไม้ต่าง ๆ ขึ้นรกดีมาก แถมมีสัตว์ต่าง ๆมา
อาศัยอยู่โดยไม่ได้เชิญชวนมากมาย เช่น....
............. งูครับ งอ งู งูเหลือม งูเห่า ข้างบ้านเป็นดงรกชัฏ ที่ของราชพัสดุรอการพัฒนา
วันดีคืนดีก็มีพวกนี้โผล่มาทางบ้านเราด้วย ส่วนพวกงูเขียวมีเยอะด้วย ทุกซุ้มไม้เลื้อย
เวลาจะตัดแต่งกิ่งไม้ต้องดูให้ดี เดี๋ยวกรรไกงับตัวงูเข้าให้ ต้องเคาะไล่มันหนีก่อนค่อยตัด
............. ผึ้งครับ ผึ้งมิ้มรังเล็ก และผึ้งหลวง ตัวโต ๆ รังขนาดใหญ่ มันแอบมาทำรังในซุ้มไม้
รก ๆ กว่าจะเห็นก็รังใหญ่โตแล้ว ถ้าเป็นเมื่อก่อนก็หวานหมูละ แต่เดี๋ยวนี้เลิกแล้ว สงสาร
ลูกเล็กเด็กแดงพวกมัน ตีผึ้งแต่ละทีลูกมันตายนับพันนับหมื่น ส่วนพวกต่อเห็นแวะมา
ทำรังครั้งเดียว สบายครับ ยินดีต้อนรับอยู่แล้ว ให้อยู่จนลูกโตแล้วบินจากไป ไม่ทำอันตราย
............. นกนานาชนิด มันคงเห็นบ้านเราสีเขียวเลยแวะมาเที่ยวบ้าง มาทำรังบ้าง
ยินดีต้อนรับเช่นกันครับ มีอาหารเม็ด โปรยให้กินฟรี ๆ เศษอาหารหมาก็เททิ้งไว้
บนลาน ซีเมนต์ใครใคร่กินก็เชิญ นกเขาชวา นกปรอด นกกางเขน นกกะปูด แม้แต่
นกโพระดกยังอุตส่าห์มาแจมกะเขาด้วย ชอบมากพวกนก .เสียงร้องมันเพราะดี ไม่ต้อง
ไปเที่ยวป่าก็มีนกมาร้องเพลงให้ฟัง
................ ที่เจ๋งมากคือตัวเงินตัวทอง มันโผล่มาทางท่อระบายน้ำ เราเปิดปลายท่อสำหรับ
ระบายน้ำไว้ริมรั้ว กลายเป็นทางท่องเที่ยวของมัน มาทีเสียงหมาเห่าขรม เพราะมันมากิน
เศษอาหารข้างกรงหมานั่นเอง แรก ๆ หมาเห่ามันก็หนีแล้ว ระยะหลังมา ไม่หนี แถมยัง
แลบลิ้นใส่หมาด้วย แสดงว่ามันรู้หมาติดอยู่ในกรงทำอะไรมันไม่ได้
............. อ้าวยาวแล้วยาย ยังไม่ได้พูดถึงพวกหนู ปลวก มดแมลงอีกมากมาย ในบ้าน
ที่เราคิดว่าเป็นกรรมสิทธิ์ของเรา แต่สัตว์อื่น ๆ เขาก็มาอาศัยอยู่โดยไม่ขออนุญาตเราเลย
เห็นไหมคนที่อวดว่าฉลาดและเก่งเหลือหลาย ที่แท้ก็สู้พวกสัตว์เขาไม่ได้ ไม่เชื่อลองทำ
ประชามติดูซิ เอ้าเชิญสัตว์ทุกตัวที่อาศัยอยู่ในบริวณบ้านหลังนี้ มาออกเสียงกันว่า ใครควร
จะเป็นประธานใหญ่แห่งบ้านหลังนี้ พวกมดปลวกชนะขาดแน่นอน ไม่เชื่อลองดูสิ

ไม่จบนะแต่หยุดเขียน ไว้ก่อนค่อยต่อ

เที่ยวงานโอทอปเมืองทอง



เที่ยวงานแสดงสินค้าโอทอปที่เมืองทอง

**************



...........11 มิถุนายน 2559 ยายชวนไปเที่ยวชมงานแสดงสินค้า โอทอปที่เมืองทองธานี ให้เราเป็นสารถี ยายจะเติมน้ำมันให้ มีแม่บ้านกับลูก และหมาตัวโปรด ทาโร่คุกกี้ สองตัวไปด้วย ก็ดี อยู่บ้านมันเงียบเหงา ออกไปนอกบ้านจะได้โล่ง ๆ หน่อย อาชาน แม่บ้าน กำปั้นลูกชาย เขาช่วยกันจับหมาอาบน้ำ แต่งตัว หล่อเริด มันยืนรอที่โรงรถแล้ว เราซะอีกที่ชักช้า ตรวจเชครถพร้อมสำหรับ การเดินทางไกล เปิดประตูให้หมามันขึ้นรถ แสนรู้จริง ๆ นั่งจับ จองเก้าอี้อด้านหน้า พอยายขึ้นมันแย่งกันนั่งตัก คนมาพร้อมก็ ออกเดินทาง จากบ้านแปดริ้วไปเมืองทองธานีก็ประมาณ 100 กม. วิ่งชั่วโมงครึ่งก็น่าจะถึง
...............ออกจากบ้านศรีโสธรตัดใหม่ เลี้ยวขวาซัก 200 เมตรก็ เข้าซอยลิเก ทะลุออกถนนฉะเชิงเทราบางปะกง สองโมงครึ่ง รถ บางตาไม่แน่นเหมือนวันปกติเลยวิ่งตามสบาย ๆ แบบคนแก่ขับ ผู้โดยสารคุยกัน เอะอะ แม่ลูกมันด่ากัน ยายก็ทะเลาะกับหมา มา นั่งตักแม่ทำไม เล็บข่วนเป็นแผลหมดแล้ว ไปอยู่ข้างหลัง กี้มาหา แม่ ทาโร่ถอยไป ทำให้รู้ว่า กี้คือหมาตัวโปรด แต่ทาโร่มันตัวผู้ ซุกซน ไม่นานมันก็มาแอบบนอนเบียด กลายเป็นสองตัวนั่งตัก เห็นยายชอบใจ โม้ว่ามันรักแม่มาก แน่นอน มันคงรู้ออเซาะไว้
ลงรถจะได้กินไก่ย่าง

.............ขึ้นทางด่วน ถนนโล่ง วันเสาร์ ไม่ค่อยมีคนเข้ากรุงเทพ ฯ ค่อย ๆ วิ่งมาเหยี่ยบ 120 เอง ยายว่าขับเร็วไปแล้ว เลยชี้ให้ดูคันอื่น เขาแซงเราทั้งนั้น เราต้องวิ่งแอบซ้ายไว้ เพราะขับช้า คงแซงได้ เฉพาะสิบล้อที่เขาอยู่เลนซ้ายเอาอีก ยายคงเชื่อตามที่เราบอก เห็น เงียบไป ไม่นานนักก็ถึง จตุจักร 2 ผ่านด่านกาแฟ ไปทางงามวงศ์วาน เห็นแยกแคลายที่ลงบ่อยไปพบหมอที่โรงพยาบาลทรวงอก แต่วันนี้ จะเลยไปเมืองทอง เห็นป้ายธรรมศาสตร์รังสิต ตรงไปไม่นานก็เป็น ทางลงเมืองทองธานี เสียเวลาหาที่จอดรถนานเหมือนกัน เพราะรถ คนมาเที่ยวมาก จอดรถแล้วก็จัดหาผ้าคลุมรถกันแดดให้หมาสองตัว จัดกระบะใส่น้ำแข็งไว้ให้ เสร็จแล้วก็พากันเข้าไปอาคารใกล้ ๆ เขา เรียก ฮอลล์1 2 3 4 โผล่เข้าไปเป็นเครื่องไฟฟ้า เครื่องกรองน้ำ เดินดูแล้วก็ผ่านไปอีกอาคารที่เป็นสินค้าโอทอป เห็นเชียก ซาเล้ง เจ้อ มี 1 2 3 4 เหมือนกัน แต่วันนี้คงเอาม่านกั้นออก แลดูโล่ง กว้าง คนจากต่างจังหวัดทุกภูมิภาค เขาเชิญมาหมด เลยมีบูธสินค้าจังหวัด ต่าง ๆมากมาย

.............ยายกับแม่บ้านและหลานขอไปเดินดูสินค้าก่อน เพราะเราหิว เที่ยงแก่ ๆแล้วนี่เลยไปชม บูธ อาหารก่อน เดี๋ยวนี้มีโทรศัพท์กันทุกคน ไม่กลัวหลงแล้ว ส้มตำคือเป้าหมายแรก หลายสูตรหลายจังหวัด ตำปู ปลาร้า ตำปลาร้า ตำป่า ตำซั๊วะ ตำทะเล ตำปูม้า สั่งตำป่า กับ ไก่ย่าง ได้ แล้วเดินหาที่นั่ง ไม่ค่อยมีเต็มทุกโต๊ะ มีสองผัวเมียคู่่หนึ่งชวนให้นั่งด้วย เลยนั่งทานส้มตำที่หัวโต๊ะ เขามองดูจานแล้วแล้วก็ถามว่ามันคืออะไร พอบอกตำป่าเขาก้หัวเราะ สงสัยว่าทำไมเรียกตำป่า เราก็บอกว่าไม่ทราบ ใครตั้งชื่อ แต่คิดว่าเหมาะแล้ว เพราะมันใส่ส่วนผสมมากมาย ไม่น่าเชื่อ ว่าจะรวมกันเป็นส้มตำได้ เท่าที่ดูในจาน เห็น พริก กะเทียม ถัวฝักยาว เส้นมะละกอ มะเขือเทศ มะขามเปียก มะนาว ปูดอง ปลาร้า ส่วนน้ำปลา น้ำตาล ชิมดูก้รู้ว่ามีใส่ด้วย นี่เป็นส่วนผสมส้มตำปูปลาร้า ที่ทำให้เป็นตำ ป่าคงเป็นส่วนที่เกินมา มีผักดอง กะเทียมดอง ผักกะเฉด ผักบุ้ง มะเขือ เปราะ หัวหอยขมสุกแล้ว อ้าวมีไก่ย่างฉีกเป็นเส้นฝอยปนอยู่ด้วย เท่าที่
มองเห็นคงมีเท่านี้ ตำป่าก็ตำป่า อร่อยดีนี่ซัดซะเกลี้ยงจานเลย ราคา ห้าสิบ เขาบอกราคากรุงเทพ ฯ ถ้าทำที่บ้าน ก็สามสิบห้าบาท
.................อิ่มส้มตำก็เดินหาดื่มน้ำ ไปเจอบูธน้ำแร่ เห็นโฆษณาสรรพคุณ ยังกะยาโด้ปเลยทดลองขวดหนึ่งสิบบาท ถามเขาว่าทำไมเรียกน้ำแร่ เพราะ ดื่มแล้วมันก็เหมือนน้ำดื่มทั่ว ๆ ไป เด็กบอก พ่อหนูตั้งชื่อว่าน้ำแร่ค่ะ เออ ถูกของเอ็ง ของหวานมีหลายสิบบูธ ทั้งพวกขนมไทย ผลไม้เชื่อม ที่ชอบมาก คือข้าวหมากห่องละสิบบาทเอง ต้องสองห่อถึงจะรู้รส หวาน หอม ของเขาดี จริง เลยขอซื้อแป้งมี 6 ก้อน เขาบอกใช้ข้าว 1 กิโลกรัมต่อแป้ง 2 ก้อน เอาไป หกก้อนทำได้ถึง 3 กิโลกรัมเชียว ส่งสัยทำกินหมดแป้ง 6 ก้อนนี่ ติดเหล้าแหง เลย เพราะรสมันเหมือสาโทมาก
................บูธเสื้อผ้า มีมากที่สุดในงาน โอทอประดับสุดยอดของแต่ละท้องถิ่น จริง ๆ เสื้อผ้า จากเหนือที่สวยงาม ลวดลายฝีมือเยี่ยมจริงๆ ทางอีสานต้องผ้า ไหม ผ้ามัดหมี่ ลายขิด ผ้าม่อฮ่อมจากเหนือ หมอน ที่นอน ละลานตาจริง ๆ ราคาก็ไม่แพงนัก พอดีเดินไปพบแม่บ้านเขากำลังมัดหมี่สาธิตให้คนชม เลย
ถือโอกาสไปนั่งคุยได้ความรู้มากเหมือนกัน ผ้ามัดหมี่ก็เหมือนจักสานที่ทำ ลวดลายต่าง ๆเพราะใช้ไม้ตอกสีต่าง ๆ ตั้งแนวตั้งก็เหมือนเส้นไหมที่เป็น เครือหูก ตอกสานก็เหมือเส้นไหมที่ใช้ถักทอ ต้องมีลวดลาย ทอออกมาจึงจะ ได้ลายผ้าต่าง ๆ ลายนี้ได้มาจากการมัดหมี่นั่นเอง เครือหูกนิยมใช้สีเดียว
เช่น เหลือง เขียว แดง เส้นทอ ได้จากการนำเส้นไหมหรือด้ายมามัดหมี่ ให้ ได้ลวดลายตามต้องการ ก่อนนิยมใช้ปอเชือกกล้วย แต่ปัจจุบันเชือกฟาง เหนี่ยว แน่นกว่า จะมีหลักสำหรับขึงเส้นไหมที่จะมัดหมี่ เรียก โฮงกว้างกว่าหน้าผ้าที่ จะทอ นำไหมหรือด้ายมีพันวนรอบไปมาสิบรอบ มัดหัวท้ายไว้เป็นเปราะ ๆ จนได้ ครบจำนวนลายที่จะทอ เช่นลายดอกรูปสี่เหลี่ยวข้าวหลามตัด ดอกละ25 เส้น ต้องการ 6 ดอกสำหรับทอเป้นตีนผ้าถุงหมี่ต้องใช้ด้วยหรือไหม 150 เส้น แบบนี้ เป็นต้น จากนั้นก็เริ่มมัดลวดลายตามที่ต้องการ เสร็จก็ถอดออกมานำไปย้อมสี แห้งแล้วนำมากางอีกเพื่อทำสีที่สองที่สามจนครบลายและสีที่ต้องการ
...............หมี่ที่เสร็จพร้อมนำไปทอ จะถูกนำไปปั่นลงในหลอดที่ใช้กับกระสวย ปั่นเต็มหลอดก็จะสำไปร้อยเชือกตามลำดับที่จะทอก่อนหลัง สลับผิดไม่ได้ เดี๋ยว ไม่เป็นลายตามที่มัดไว้ รอยมัดที่โคนหลักขึงโฮงมัดหมี่ จะต้องตรงกัน ลายถึง จะสวย เฮ้อฟังป้าคนมัดหมี่เล่าแล้วราคาผ้าผืนละสองพันห้า ถูกไป มันทำยาก จริง ๆ นอกจากผ้ามัดหมี่ ยังมีผ้าลายจกที่ต้องใช้ไม้เก็บลายทีละเส้น ๆ เก็บเสร็จ ก็เอาไม้ไผ่ยาว ๆสอดไว้แล้วสอดด้ายทอไปด้วย ทอเสร็จได้ลวดลาย 1 ดอก แล้วจะทอตามไม้สอดเก็บไว้ได้อีก 1 ดอก ผ้าลายแบบนี้เก็กลวดลายได้ครั้งละ 2 ดอก ดูแล้วก็สวยไม่แพ้มัดหมี่หรอก คนไทยนี่มีฝีมือด้านการถักทอไม่แพ้ชาติใด ๆ เสียอย่างเดียวขายยังไม่เก่ง สังเกตดูมีแต่คนไทยดูกันเอง เสียดายจัง จัดคราว ต่อไปชวนต่างชาติมาเที่ยวชมบ้างนะครับ






12/6/2559

วันพฤหัสบดีที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

ฝึกแต่งกาพย์สุรางคนางค์

.........................ฝึกแต่งกาพย์สุรางงคนางค์ 28......................................
.................ผมไม่ค่อยได้แต่งกาพย์สุรางค์คนาง เพราะจำแผนผังบังคับไม่ได้ซักที จะแต่งทีไรต้องกางแบแผนดู ดีที่จังหวะคำเป้นแบบ 2-2 ตลอดทุกวรรค วรรคหนึ่งใช้ 4 คำ 7 วรรค ครบ28 พอดี จะเขียนแนะนำนักเรียนแต่ง ผมก็ต้องท่อง กาพย์พระไชยสุริยามาอ้าง แบบแผน เอาบทนี้แล้วกัน 

........................พระชวนนวลนอน.....เข็นใจไม้ขอน..........เหมือนหมอนแม่นา
ภูธรสอนมนต์....ให้บ่นภาวนา...........เย็นค่ำร่ำว่า..............กันป่าภัยพาล
.......................วันนั้นจันทร...............มีดารากร..................เป็นบริวาร
เห็นสิ้นดินฟ้า....ในป่าท่าธาร............มาลีคลี่บาน.............ใบช่ออรชร
                                                                                           กาพย์พระไชยสุริยา
              
              

              ท่องจำได้แล้วก็เอามาวางใส่หน้ากระดาษ แบบนี้ จะได้มองเห็น สัมผัสได้ง่ายขึ้น
กาะย์สุรางคนางค์ บท หนึ่ง 28 คำ แบ่งเป็น 7 วรรค วรรคละ 4 คำ การอ่านแบบจังหวะ 2-2
ทุกวรรค จำนวนคำ คณะ จำง่ายดี
              สัมผัสบังคับ ดูคำท้ายวรรคที่ 1 (นอน) ส่งไปคำท้ายวรรคที่ 2  (ขอน)(แบบเดียวกันนี้ดูวรรคที่ 5 กับวรรคที่  6  ดูบทที่ 2 เหมือนกันเลย (นี่เองเหตุผลที่จัดวาง ให้วรรคที่ 1และวรรคที่ 5 ตรงกัน ทำให้
วรรคที่  2 และ 6 ตรงกัน วรรค 3และ 7 ตรงกัน)
             ต่อไปดูสัมผัสบังคับท้ายวรรคที่ 2 (ขอน) สังสัมผัสไปคำ ที่ 2 วรรค 3 (หมอน)
ดูบรรทัดล่าง วรรคที่ 6 กับวรรคที่ 7 ส่ง-รับเหมือนกันเลย การส่งสัมผัสคำท้ายวรรค ไปคำที่ 2 วรรค
ถัดไปแบบนี้ มีอีกคู่คือ ท้ายวรรคที่ 4 และคำที่ 2 วรรคที่ 5

หมายเหตุ แผนผังบังคับกาพย์สุรางคนางค์ ที่แตกต่างกันมีหลากหลาย แบบที่นำมาจากกาพย์ พระไชยสุริยา เห็นว่าเพราะมาก การใช้สัมผัสเลยมีเพิ่ม 2 แห่งคือ คำที่สองวรรคที่ 3 รับสมัสจากคำที่ 4 วรรคที่ 2
วรรคที่ 4 คำท้ายวรรคส่งสัมผัสคำที่ 2 วรรคที่ 5  และคำที่ 2 วรรคสุดท้ายรับสัมผัสคำท้ายวรรคที่ 6  สัมผัสที่เพิ่มนี้ ในหนังสือออื่น ๆ อาจว่างไว้ ไม่มีรับส่งสัมผัส

             การจำแผนผังบังคับ จำเป็นสำหรับการแต่งร้อยกรองทุกชนิด ท่องบทแบบอย่างได้สะดวก
ที่จะวิเคราะห์ดูคณะแผนผังบังคับต่าง ๆ จากนั้นก็ลงมือแต่งตามแบบให้ถูกต้อง
 การฝึกใช้คำตามแบบกาพย์สุรางคนางค์
              ต่อคำปากเกล่า กลอนหัวเดียว  โปรดดูดารใช้คำแบบนี้ ในแต่ละบท มีกี่แห่ง วรรคที่ 1 กับวรรคที่ 2  วรรคที่ 3 กับวรรคที่ 5และ 6  รวมใช้ 3 ครั้ง ดังนั้นฝึกกลอนหัวเดียวซัก 5 เสียง เสียงละ 10 กลุ่มคำ เช่น

              หัวเดียวเสียง ไอ  จดจำเอาไว้  เสียงนี้เสียงใคร จักกินอะไร  เขาหลบอยู่ไหน 
จะช้าอยู่ใย  แลเห็นรถไฟ    วิ่งเร็วทันใจ  มาพวกเราไป   จองที่เอาไว้  นั่งรวมกันไว
              หัวเดียวเสียง อน ...ระวังตัวตน......อย่ามัวสับสน  ยามนอนอย่ากรน อย่าเล่นซุกซน
ระวังขี้บ่น.......พูดจาวกวน.............มีแฟนหลายคน.........อย่ามัวเล่นกน.......ไม่ดีแต่ต้น
เดี๋ยวเข้าตาจน  
              หัวเดียวเสียน ออน   จักลองแต่กลอน  จดจำคดสอน   ว่าเป็นตอนตอน   มิต้องรีบร้อน
ค่อยคิดอักษร       สัมผัสวรรคตอน     งามแง่งามงอน   สังสมสั่งสอน  จำใจจำจร  เจอคนมือบอน
              แต่คำกลุ่มละ 4 คำ รับสัมผัสด้วยคำที่ 2 มีในบทกาพย์ถึง 3 แห่ง มาลองฝึกปากเปล่า ดู
              มาเริ่มแต่งกาพย์  รับทราบครับผม เพื่อชมว่าเก่ง  รีบเร่งอ่านดู  คำครูให้อ่าน  ขับขานคำกรอง
จะลองอ่านกาพย์  เคยทราบเอาไว้ พระไชยสุริยา  ครูว่ามีแผน  คือแปลนคำกาพย์  รับทราบมิวาง สุรางคนา  ไปหามาไว้  จะได้เรียนรู้ ฯลฯ
             เมือชำนาญการเสาะหาคำมาใช้ตามเกณฑ์ที่กำหนดให้แล้ว ต่อไปก็ลองแต่งกาพย์ตามแผนผัง 
ดูก่อน.  แล้วค่อย ๆ พัฒนาบ่อย ๆ ก็จะชำนาญเอง

           อยากชวนนวลนั่ง..........ร้องเพลงให้ฟัง.............ระวังให้ดี
ฉันเสียงไม่เพราะ......แต่เหมาะวิถี..........ร้องเกี้ยวแบบนี้........ครูชี้เก่งเกิน
             ฉันชอบหนูนัก.........ก็ใจมันรัก........ประจักษ์มิเขิน
ปิ้งย่างใช่ย่อย..........อร่อยเหลือเกิน..........หวานมันเคี้ยงเพลิน........ขอเชิญลองดู
             ห่อหมกหยวกหอม....ลองชิมมาพร้อม........มิยอมคุณหนู
มาซิมมาลอง.........มัวมองอยากรู้........นั่งลงโฉมตรู..........คุณครูพาลอง
             รสมันหอมหวาน..........หยิบกินสำราญ..........เบิกบานสนอง
สองห่อหมดไป...........ถูกใจทำนอง............อร่อยเรียกร้อง..........จับจองอีกครา ฯ




วันพุธที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

พรจะเกิดเป็นจริงได้...


--------------------------------พบแต่สิ่งดีงาม-------------------------------

..............28 กค.59 แรมแปดค่ำเดือนแปด ยายที่บ้านชวนไปฟังเทศน์ที่วัด ขับรถไปส่งพระกำลังออกบิณฑบาต ยายลงไปใส่บาตร เราเอารถไปจอด ฟังเพลงที่พี่เณรเปิดดังลั่นและเชิญชวนให้ไปวัดทำบุญกัน ส่วนมากตักบาตรแล้วก็จบ ไม่ค่อยไปวัดกัน เคยไปเหมือนกันนะ แต่วันนี้ ไม่ได้ไปร่วมกิจกรรมที่ศาลา เพราะจะไปธุระที่อื่น ได้แต่นึกถึง พร ที่พระสวดให้ตอนใส่บาตร ว่า "อภิวาทนสีลิสส นิจจังวุฑฒาปยายิโน จัตตาโร ธัมมา วัฑฒันติ อายุ วันโน สุขัง พลัง" นี่พระพระท่านให้

---------------โอกาสที่เป็นมงคล ขอให้ท่านโชคดี ได้รับแต่สิ่งดีงามทุกเมื่อ...ฯลฯ......นี่ความปรารถนาดีจากพ่อแม่พี่น้อง ครูอาจารย์ เจ้านาย เพื่อนฝูง มักจะมีสิ่งนี้อยู่เสมอเราก็รับเอาความหวังดีนั้นด้วยความยินดี ไม่เคยสงสัยเลยว่า สิ่งดีงามที่รับเอามา นั้นเกิดผลดีแล้วหรือยัง พระพุทธเจ้าท่านสอนว่า สรรพสิ่งทั้งปวงย่อมเกิดจากเหตุ สังขารสุข ทุกข์ ความดี ความชั่ว ก็เช่นกัน มีเหตุที่ทำให้เกิด ถึงจะปรากฏมีได้ ความดีที่คนอื่นอยากให้เราพบก็เช่นกัน จะยังไม่ปรากฏแก่เรา จนกว่าเราจะสร้างเหตุแห่งความดีให้มีก่อน วิบากคือผลที่ดีงามถึงจะสมหวัง ตามที่คนเขาอยากให้ได้รับ

...............พระท่านสอนว่า สิ่งทิ้งปวงย่อมเกิดจากสาเหตุต่างกัน มีสาเหตุแห่งอกุศล และเหตุแห่งกุศล ท่านเรียก อกุศลมูล 3 และ กุศลมูล 3 สอนกันตั้งแต่เริ่มเรียนนักธรรมตรี เรียนเพื่อสอบก็จริง แต่นำมาใช้กับการดำรงชีวิตของเราได้ เพราะสิ่งที่ดี หรือไม่ดี มักเกิดจากสาเหตุที่กล่าวนี้ทั้งนั้น

...........อกุศลมูล 3 ตัวการที่เป็นสาเหตุให้เราทำสิ่งที่เป็น อกุศลหรือบาป หรือความชั่วแล้วแต่จะเรียก มาจากผู้บงการ 3 คือ โลภะ โทสะ และ โมหะ เช่นกัน ตัวการที่เป็นเหตุให้เราทำ กุศล ทำบุญ ทำความดี ก็คือ อโลภะ อโทสะและอโมหะ ดังนั้นสิ่งที่เราผู้อยากให้ความหวังดี สิ่งที่ดี ที่คนอื่นให้มาเกิดเป็นจริง ก็ต้องทำสาเหตุให้เกิดด้วยการละอกุศลมูล และ ปฏิบัติ กุศลมูล นั่นเอง แล้วมันคืออะไร

           อกุศลมูล 3 อย่าง ที่อย่าให้ครอบงำจิตใจเราได้คือ โลภ อยากได้ โทสะโกรธและ โมหะคือ หลงผิด มันจะเกิดมาพร้อมกับตัวตนของเรา เราต้องรู้จักและควบคุมมิให้มันมีพลังจนควบคุมไม่ได้ เมื่อใดควบคุมไม่ได้ก็อาจชักนำให้เราทำสิ่งที่เป็นอกุศลพวกลักขโมย ปล้น จี้ เพราะโลภะแก่กล้าจนควบคุมไม่ได้ พวกที่ดุด่า ทำร้ายคนอื่น เพราะลุแก่โทสะ พวกที่ผิดปกติ งมงายก็เพราะกำลังหลงผิด อกุศลมูลมีติดตัวทุกคนหน้าที่เราคือควบคุมมิให้มันมีอำนาจเหนือจิตใจเรา และพยายามขัดเกลาให้มันเบาบางเพราะถ้าปล่อยให้มันกำเริบบ่อย ๆ มันจะโตขึ้น ๆ ที่คนเฒ่าคนแก่เรียก พวกกิเลสหนาจนกลับกัน แทนที่เราจะควบคุมมันได้ กลายเป็นมันชักจูงเราทำ อกุศล วิบากคือผลที่จะตามมาก็คือ อกุศล บาป หรือความชั่วนั่นเอง

            กุศลมูล อโลภะ ไม่โลภ อโทสะ ไม่โกรธ และ อโมหะ ไม่หลงผิด สามตัวนี้ก็มีอยู่ในตัวเรา พร้อม ๆ กับอกุศลมูลนั่นแหละ แย่งที่กันอยู่่ ใครเก่งก็ยึดครองจิตใจได้ชักจูงจิตให้ให้อยากทำสิ่งที่เป็นฝ่ายของตน เช่น อโลภะ แกร่งกล้า อยากทำทาน อยากอยากบริจาค อยากให้คนอื่น อโทสะมีกำลังกล้า จิตใจเยือกเย็นมีความรักมีเมตตาต่อผู้อื่นอโมหะมีพลังมาก เบียดความโง่ไปห่าง ๆ สติปัญญามาแทนที่ มองเห็นแนวทางที่ถูกต้องไม่งมงาย กุศลมูล นี่แหละที่เป็นสาเหตุสำคัญ ให้เราทำสิ่งที่เป็นฝ่าย กุศล ความดีงาม ผลก็คือ ความดีงาม จะเกิดมีแก่เรา ตามความหวังดีที่คนอื่นให้พรเรามา

           พุทธศาสนาให้ความสำคัญต่อการควบคุม อกุศลมูล 3 และเจริญกุศลมูล 3 โดยสอนศาสนิกชนให้ปฏิบัติตามหลักคำสอน
            สัพพปาปัสสะ อกรณัง อย่าทำบาปทั้งปวง (นี่ไง อกุศลมูล 3 ตัวการเลยแหละ)

            กุสลัสสูปสัมปทา สั่งสมกุศลให้พร้อม (นี่ก็คือ กุศลมูล 3 นั่นแหละ)

             สจิตตปริโยทัปปนัง ชำระจิตให้มดจดจากกิเลส (ปลายทางคือโมกขธรรม)

             เพื่อให้เกิดผลการละชั่วทำแต่กุศลและชำระจิตให้หมดจด ท่านจึงสอนให้หมั่นทำทานมัย สีลมัยและภาวนามัย ที่เรียกบุญกิริยาวัตถุ 3 เมื่อทำบุญจะช่วยทำให้ อกุศลเบาบางลง และขณะเดียวกันก็ช่วยสะสม กุศลมูลมากขึ้น ดังนั้นการทำบุญด้วยการรู้จักหลักการทำบุญ รู้จุดหมายการทำบุญ จึงสำคัญมาก ไม่เช่นนั้นจะกลายเป็นการทำบุญไม่คุ้มค่า เสียดาย....

ฝึกแต่งกาพย์ยานี 11

.................แนะนำแต่งกาพย์ยานี 11....................................
------------------------------
..............หาบทเขียนแนะนำแต่งกาพย์ยานีไม่เห็น ทั้งที่เขียนก่อนกาพย์ฉบัง เลยต้องมานั้งเขียนใหม่ หลักการเดิมนั่นแหละคือ คนจะแต่งกาพย์ก็เหมือนคนจะสร้างบ้าน ต้องมีวัสดุก่อสร้าง มีเครื่องมือ มี
ความรู้ความชำนาญ แต่งกาพย์วัสดุที่ใช้คือ ถ้อยคำภาษา ใครรู้คำมากก็สบาย ใครไม่ค่อยรู้คำก็ลำบาก เครื่องมือก็หลักเกณฑ์การแต่งกาพย์ แต่งบ่อยก็ชำนาญ เท่านี้เอง
..........สอนนักเรียนแต่งร้อยกรองผมมักเลือกกาพย์ยานี 11 ให้ฝึกเพราะใช้คำบทละ 22 คำ เอง หาคำมาเรียบเรียนตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดให้ ก็แต่งได้ มาดูหลักเกณฑ์ที่กำหนด1. หาข้อความยาว 5 คำ อ่านสองจังหวะ แบบ OO/OOOโดยการต่อคำเล่นเอง รักเอย/รักของฉัน เหมือนฝัน/ที่ได้เจอ เธอจ๋า/รักฉันไหม ใจเธอ/ของใครหนอ .....เข้าใจแล้วลองว่าปากเปล่าเล่น ๆ ทำได้แล้ว ค่อยจดลงสมุดแบบฝึกหัด ขอซัก 20 ข้อความ ..........แล้วปล่อยให้ฝึกกันไป
2. หาข้อความยาว 6 คำ อ่านสองจังหวะเหมือนกันแต่เป็นแบบ OOO/OOOเช่น สาลิกา/บินไปไหน หมากลำใย/ดกดีจัง นั่งดื่มชา/กันไหมหนู ................เข้าใจเกณฑ์ที่กำหนดก็ปล่อยให้ลองปากเปล่า และจดบันทึก ให้ได้ 20 ข้อความ
3. เล่นต่อคำปากเปล่า สลับกันระหว่าง แบบที่ 1 ที่มี 5 คำ สลับกับแบบที่ 2 ซึงมี 6 คำ คำที่นำมาต่อ รับสัมผัสด้วยคำที่ 1 / 2 / 3 ต่อด้วยปากเปล่าก่อน ค่อยจดลงสมุดบันทึกดอกเอ๋ย/ดอกกุหลาบ......หอมซานซ่าน/เหลือยิ่งหนองามอ้อ/มันลู่ลม ดอกชวนชม/ยามเบ่งบาน............ดอกจาน/เรียกทองกวาว.............ขาวดอกพุด/พิสุทธิ์ใส  เช่นเคยเมื่อเข้าใจเกณฑ์ที่กำหนดให้ก็ปล่อยให้ลองว่าปากเปล่าดู ทำได้ก็จดบันทึก สะสมให้ได้ 20 ข้อความ
4. เล่นต่อคำ 5 คำ แบบกลอนหัวเดียว เช่น หาคำแบบข้อที่ 1 คือ OO/OOO โดยคำที่ 5 ต้องใช้คำประสมเสียง ไอ โอ . อู . อัน ตัวอย่าง นางฟ้า/งามวิไล ฉันรัก/เธอด้วยใจบ้านฉัน/อยู่ตั้งไกล.......................หลายเดือน/กล้าเติบโต แต่ก่อน/เรายังโง่.........เมื่อเข้าใจ เกณฑ์แล้วปล่อยให้เล่นเองแล้วจดบันทึกส่ง 20 คำ
เล่นต่อคำแบบข้อ 2 OOO/OOO บังคับคำท้ายต้องประสมเสียง อา. อี . อน อ๋อง ตัวอย่าง โรงเรียนรัก/จักศึกษา จักขยัน/อ่านตำรา........ช่วยเหลือกัน/คือทำดี ราชวงศ์/นามจักรี...........รักใดเล่า/เท่ารักตน อ่านเข้าใจ/ไม่สับสน เช่นเคยเข้าใจเกณฑ์กำหนดให้แล้วก็ปล่อยให้เล่นกันเองและบันทึกลงสมุดส่ง 20 ข้อความ 
สรุป กิจกรรมฝึก ง่ายมากจนนักเรียนมักจะว่าปากเปล่าก่อนจะจดบันทึกใส่สมุดแบบฝึกหัด จะมีบางคนชอบแอบไปบอกเพื่อน ห้ามช่วย เพราะจะทำให้เพื่อนคิดเองช้า คนไหนคิดได้ไว เขียนส่งมาก ๆ แทน วิธีการเป็นการฝึกหาคำมาใช้แต่งกาพย์ ฝึกการใช้คำแบบกำหนด จังหวะการอ่าน ฝึกการรับสัมผัสต่อเนื่อง 
เหมือนกาพย์ วรรคที่ 1 กับ วรรคที่ 2 ฝึกต่อคำแบบหัวเดียว ก็คือ กาพย์วรรคที่ 3 (5คำ) 6 คำ แบบหัวเดียวก็คือ กาพย์ วรรคที่ 2 รับสัมผัสข้ามบทฝึกผ่านถึงขั้นนี้ หลายคนว่ากาพย์ยานีปากเปล่าได้สบาย ๆ ลองดูก็ได้   แบ่งนักเรียนออกเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มละ 2 คน จัดโต๊ะ เก้าอี้ นั่งหันหน้าหากัน ติดเบอร์ 1 2 3 และ 4 เบอร์คี่อยู่ฝั่งซ้าย เบอร์คู่อยู่ฝั่งขวา
             เบอร์ 1 ให้เอยคำ 5 คำจังหวะ 2- 3 ลงท้ายตามสบาย
             เบอร์ 2 รับต่อคำของเบอร์ 1 รับสัมผัสด้วยคำที่ 1/2/3 ใช้คำ 6 คำ จังหวะ 3-3 
             เบอร์ 3 รับต่อคำจากเบอร์ 2 จำนวน 5 คำแบบ 2-3 ด้วยใช้กลอนหัวเดียวกับของเบอร์ 2 และ
             เบอร์ 4 ต่อคำแบบไม่ต้องรับสัมผัส ต้องการ 6 คำ แบบ 3-3 
             บนโต๊ะเบอร์ 1 เขียนบอกไว้ว่า ให้กล่าวคำ 5 คำ จังหวะ 2 - 3 ลงท้ายอะไรก็ได้
             บนโต๊ะเบอร์ 2 ฟังคำลงท้ายเบอร์ 1 ให้ดี เราต้องรับสัมผัสเขาด้วยคำที่ 1/2/3 เขาต้อง เอ่ยคำ6 คำ จังหวะ 3-3 ด้วย
             บนโต๊ะเบอร์ 3 เธอฟังคำลงท้ายเบอร์ 2 ให้ดี เพราะเธอต้องใช้กลอนหัวเดียวกับคำลงท้ายของเบอร์ 2 แต่เธอเอย 5 คำ แบบ 2-3 
             บนโต๊ะเยอร์ 4 เธอไม่ต้องรับสัมผัสใคร แต่ต้องฟังทุกคนที่เขาว่ามา คำที่เธอเอ่ยปาก 6 คำ แบบ 3-3 ตามสบาย แต่ให้เป็นเรื่องเดียวกันกับคนอื่น ๆ
            ให้เบอร์ 1 จดบันทึก และตรวจสอบว่าเป็นกาพย์ยานีใช่หรือไม่ ถ้าใช่ก็อ่านให้เพื่อน ๆ ฟัง 
             กลุ่มแรกน่าจะให้เล่นซัก 2 รอบ จะทำให้เพื่อน ๆ อยากลองและออกมาเล่นกันบ้าง

ตัวอย่าง กาพย์ ยานี 11
ยานีแต่งสิบเอ็ด.......................ร้อยคำเสร็จเสนาะหู
เพราะมากอยากจักรู้.....................เร่งฝึกเข้ามิยากเย็น
วรรคหน้าห้าคำครบ..................จังหวะพบสองสามเห็น
แถวหลังหกคำเล่น.......................แบบสามสามอ่านง่ายดี
คำห้าของวรรคหนึ่ง......................สัมผัสถึงคำสามถี
วรรคสองนั่นแหละมี.....................บังคับไว้แต่งเติมตาม
วรรคสี่งดรับส่ง............................แบบนี้คงมิต้องถาม
คำท้ายบทส่งข้าม........................คำที่ห้าวรรคสองแล
บทสองรับเรียบร้อย......................งดงามถ้อยตามกระแส
กาพย์งามทุกยามแท้....................ลองแต่งเล่นสบายสบาย ฯ
              ปล. ผมใช้เวลาฝึก 1 เดือน สัปดาห์ละ 1 ชั่วโมงกิจกรรมนั่นแหละ ด้ผลครับ แต่งกาพย์ยานีเก่งทั้งกลุ่ม 15 คน มีคุณครูแอบเอาไปสอนในชั้นเรียน มาคุยว่าเขาใช้ 2 ชั่วโมงพอ เด็กทำได้ก็เลยด่าเอา
ว่า ทำไปได้ สอนเด็กม. 2 เองนะ ไปเร่งทำไม เดี๋ยวเด็กบางคนไปไม่ทันเพื่อนก็เครียดหรอก ที่ผมใช้เวลา 4 ชั่วโมง ใน 1 เดือน เพราะผมรู้ว่าเด็กก็เหมือนครูนั่นแหละใจร้อนได้หลักเกณฑ์ไปก็เอาไปเล่นกัน แถมเตรียมบทเรียนมาก่อนล่วงหน้า นึกขำจะตายเวลาเด็กตอบ โต้กันด้วยปากเปล่า จนต้องเบรกว่า ต้องเขียนส่งครูด้วย ชั่วโมงสุดท้าย ต้องปรับกิจกรรมจับแต่งกาพย์แข่งกัน มี 3 ทีม ทีมละ 4 คน เหลือ 3 คนนั่งเป็นกรรมการ ดอกไม้ 3 ชนิด กุหลาบ ดาวเรือง ซ่อนกลิ่น กระดังงา มี 4 ชื่อ ให้เลือกชนิดใดชนิดหนึ่ง แต่งเป็นกาพย์ยานี 11 อวดว่าดอกไม้ที่เลือกเป็นดอกไม้ที่มีค่ามาก ความยาว 10 บท ให้เล่า 30 นาที กรรมการ จัดสลากให้จับ ได้ กุหลาบ ดาวเรือง ซ่อนกลิ่น ไม่มีกลุ่มใดของเปลี่ยน ประกาศเริ่มจับเวลา 
ผ่านไปแค่ 20 นาที จะส่งงานแล้ว เลยต้องเตือนว่า กาพย์ที่ดีต้องแต่งได้ถูกต้องตามฉันทลักษณ์จังหวะก็สละสลวยไม่ติดคัด ถ้อยคำก็งามเนื้อหาก็ดี มีเวลาตรวจทานก่อนก็ได้ผลงานแต่งได้ดีทุกกลุ่ม แต่คะแนนไม่เท่ากัน เพราะมีข้อบกพร่องคนละเล็กละน้อยแต่ได้ขนมเป็นลูกอม 4 ถุง แจกกลุ่มละ ถุง กรรมการก็ให้ด้วย สนุกดี
.............................

วันอังคารที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

ทำน้ำยาขนมจีน

.คล้ายวันเกิดแฟน น.ส. ธนัญธร ณรงค์หนู..............
----------------
............เขาว่าเขาเกิดวันที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ.อะไรจำไม่ได้แล้ว อ้อ เกษียณมา 6 ปี แล้ว แต่คำนำ
หน้ายังเป็น น.ส.อยู่ ตาว่าไม่ต้อง
เปลี่ยนหรอก เดี๋ยวนี้เขายอมให้ผู้หญิง ใช้ น.ส.หรือ นาง ได้ตาม
ใจชอบ ตาอยากมีแฟนแบบเอ๊าะ ๆคงไว้ดีแล้ว วันนี้ก็คล้ายวันเกิดทั้งวัน เขาก็ทำกิจกรรมตามปกติ เช้าไหว้พระสวดมนต์ แผ่เมตตา สมาทานศีล แล้วออกไปตักบาตร กลับมาหาของกินมาฝากตาด้วย มีทั้งขนมทั้งกับข้าว จนจะกินไม่หมด ยังมีเส้นขนมจีน 2 ถุง เป็นเศษขนมจีน ที่เขาจับเอาเส้นสวย ๆ ไปจีบใส่ถาดแล้ว เส้นที่ขาดไม่สวย เขาใส่ถุงขายถูก ๆ ถุงละ 10 บาท ยาย บอกว่าอยากกินยำขนมจีน เห็นยำกินกันกับลูกสาว ไปแล้ว แต่ตากินไม่เป็น อยาก กินขนมจีนน้ำยามากกว่า ถามหาแม่บ้าน วันอาทิตย์เขาหยุด
ไม่มาทำงาน เสียดาย เดินไปดูตู้กับขาว เห็นหัวกระทิ 1 กิโลกรัมยังไม่ได้แกะถุง เนื้อสันอกไก่ 1 กิโลกรัม มีตีนไก่ย่าง ซื้อมาฝากหมาน้อย 2 ไม้ เออแน่ะ สงสัยต้องแอบเอาไปใส่หม้อแกงแล้ว มีหน่อไผ่ตงต้มจืด 3 หน่อ มีถัวฝักยาว 4 ฝัก มะเขือเปราะ 3 ลูก ดูขวดพริกแกง อ้าวมี งั้นทำน้ำยาขนมจีนกินฉลองก็ได้นี่นา
.............ปรุงพริกแกงให้เข้มข้นหน่อย ใช้พริกแกงเผ็ด 3 ช้อน เติมข่า 5 ฝานตะไคร้ 2 หัว หอมแดง 5 หัว กระเทียม 2 หัวกระปิ ช้อนชาเดียว หาขิง กระชายไม่มี โขลกพริกแกงและส่วนที่เติม ชิมดูเข้มข้นดีแล้วใช้ได้ ไปหั่นหน่อไม้เป็นชิ้นเล็ก ๆ เท่าชิ้นเนื้อไก่นั่นแหละ เจตนา จะหลอกคนกินว่าเป็นเนื้อไก่ เอาถ้วยเดียว เนื้อไก่หั่นเอาครึ่งถ้วย ผักอย่างอื่น มีถั่วฝักยาว 4 ฝัก มะเขือ เปราะ 3 ลูก หมดแล้วเกลี้ยงตู้ มี แค่นี้ก็เอา หั่นถั่ว มะเขือ ล้างใส่ถ้วยไว้
..............ตั้งกระทะใหญ่เคี่ยวหัวกระทิให้สุก จวนจะแตกมัน ใส่พริกแกงลงไปเกลือแกง 1 ช้อน น้ำปลา 1 ข้อน ยายเดินมาเห็นบอกใส่ปลาร้าได้นะ เกรงใจว่าจะไม่ใส่ ไม่รู้ว่าชอบ ใส่ให้นิดหนึ่ง2 ทัพพี ชิมดู จ๊าบมาก ใส่เนื้อไก่ลงไปก่อนเพราะยังดิบ ๆ ใส่ใบมะกรูดตามลงไปคนให้ทั่ว ใส่ถั่วมะเขือ คนไปรื่อย สุดท้าย ตีนไก่ย่าง 2 ไม้ แล้วก็หน่อไม้ ต้มสุกแล้ว ใส่ทีหลังได้ พอสุกดีก็เติมน้ำหัวกระทิ 1 ถ้วยตวง แถมน้ำอีก 2 ถ้วย ไม่มีหางกระทินี่ คนให้ทั่่วแล้วปล่อยให้เดือด สักครูยายกลับมาจากข้างล่างแกไปเด็ดยี่หร่า โหรพา ล้างดีแล้วใส่ลงไปแล้วก็จบ ชิมดูปรุงรสนิดหน่อย อร่อยเป็นแกงเผ็ดไก่ เพราะพริกแกงเผ็ด แถมมีกระทิ สองถ้วยตวง ถ้วยแรกเคี่ยวไว้ทอดเนื้อไก่ ถ้วยสองละลายน้ำใช้แทนหางกระทิ ทำให้น้ำแกงเข้มข้นมาก ๆ มีรสหวานหอมค่อนข้างแรง ไม่เผ็ดเพราะยายไม่กินเผ็ด เลยต้องทอดพริกแห้ง กำหนึ่ง ใส่จานไว้กินกับขนมจีนน้ำยาแกงไก่
.........ทดลองกินกัน คิดซะว่าฉลองวันเกิด แต่มันอร่อยมาก เนื้อไก่ไม่มีกระดูก ปนกับหน่อไม้ แยกไม่ออกจริง ๆ กรุบ ๆ น่ะหน่อไม้ นุ่ม ๆ เนื้อสันอกไก่ แต่เคี้ยวมันมากต้องตีนไก่ย่าง ต้มเปื่อยแล้วกินง่ายหอมด้วย ไม่ต้องถามหาเครื่องเคียงเลย เพราะไม่มี ตาซัดไป 2 จาน นั่งจุกพิมพ์เล่าอยู่นี่แหละ ยังลุกไปไหนไม่ได้ ยายอิ่มแล้วเดินเข้าห้องไป สงสัยจะหลับ อันนี้เรียกว่าตัดกำลัง ทำให้ไม่อยากออกไปกินนอกบ้าน ตอนเกิดก็เกิดที่บ้าน ไม่ได้ไปเกิดที่โรงพยาบาลเหมือนคนรุ่นใหม่ ฉลองอยู่บ้านน่ะดีแล้ว เรื่องกินนี่เหมือนกัน จะเก่งแค่ไหน คนเรากินได้แค่อิ่มเดียวเท่านั้นเอง ใช่ว่าวันเกิดจะกินได้ 2 อิ่มซะเมื่อไร จริงไหมยาย ฮ่า ๆ หลับแล้ว อิ่มขนมจีนแกงไก่ แน่จริงตื่นลุกมาสิ ขนมจีนยังอีกถุงใหญ่ น้ำยาก็อีกครึ่งหม้อ เย็น ๆ ฝากเขาซื้อผักเครื่องเคียงมาให้ ถั่ว ถั่วงอก โหระพา ลุยได้อีกรอบ สบายมาก

วันจันทร์ที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

ฝึกแต่งโคลงสี่สุภาพ

..................................มาฝึกแต่งโคลงกันเถอะ...........................
........................
 ..................คำถามถึงโคลงที่ผมยึดถือเป็นครูหรือแบบแผนในการแต่งโคลง มาพร้อม ๆกันเรื่องกลอน แต่คำตอบต่างกันมาก จึงต้องแยกมาเขียนไว้คนลับลอก ผมเขียนกาพย์ยานี 11คล่องแล้วค่อยมาฝึกแต่งกลอน แต่งจนมันใจว่าแต่งกลอนได้แล้วค่อยหันมาฝึกแต่งโคลง แต่หนังสือดังนั้นที่กวีท่านแต่งด้วยโคลง ผมไม่ค่อยได้อ่าน เลยไม่ค่อยรู้ว่าโคลงจากหนังสือเล่มไหนไพเราะน่าอ่าน ดังนั้นพอจะฝึกแต่งโคลงจึง ตำราหลักภาษาไทย ของกำชัย ทองหล่อ หลักภาษาไทยของ เปลื้อง ณ นคร หลักภาษาไทยของพระยาอุปกิตศิลปสาร  หนังสือจินดามณีฉบับพระโหราธิบดี ก็อ่านเล่นนั้นบ้างเล่มนี้บ้าง ได้หลักการฝึกตรงกันคือ 
...................1. แต่งโคลงคือการสร้างโคลงด้วยวัตถุดิบคือ คำ ที่ใช่้สื่อสารกันในภาษาไทย ซึ่งมีทั้งคำไทยโบราณ คำยืมจากภาษาอื่น เรามีพื้นฐานภาษาบาลีค่อนข้างดี แถมยังเรียนเอกภาษาไทยในระดับปริญญาตตรี มาแล้วด้วย ได้ฝึกเขียนกลอนมากกว่า 20 เรื่อง วัตถุดิบคือ คำ ที่จะใช้ฝึกแต่งโคลง คิดว่าไม่น่าจะขัดสน
...................2. แบบแผนโคลง จะฝึกโคลงสุภาพก่อน มีโคลงสองสุภาพ โคลงสามสุภาพ และโคลง
สี่สุภาพ  สังเกตดูแผนผังในเอกสารตำราพบว่า เป็นแผนผังอันเดียวกีนทั้ง 3 ชนิด ถ้าแต่งโคลง
๏ เสียงลือเสียงเล่าอ้าง… ….อันใด พี่เอย
เสียงย่อมยอยศใคร…..….….ทั่วหล้า
สองเขือพี่หลับใหล……...…..ลืมตื่น ฤาพี่
สองพี่คิดเองอ้า…………..….อย่าได้ถามเผือฯ”
                                                ลิลิตพระลอ
๏ จากมามาลิ่วล้ำ....................ลำบาง
บางยี่เรือราพราง.....................พี่พร้อง
เรือแผงช่วยพานาง.................เมียงม่าน มานา
บางบ่รับคำคล้อง.....................คล่าวน้ำตาคลอ ๚ะ
                                                นิราศนรินทร์
.....................ทำไมโคลงสองบทนี้ครูอาจารย์จึงแนะนำให้พวกเราท่องจำ ตอนเรียนไม่รู้หรอกแต่ตอนนี้พอเข้าใจครับ ว่ามีหลักการแต่งโคลงแทรกอยู่มากมาย เอาไปเขียนแนะนำแต่งโคลงได้เป็นอย่างดี เช่น

               (1) แผนผังจำนวนคำโคลงสี่สุภาพ อ่านโคลงสองบทนี้แล้ว ลองเขียนผังดู
                          OOOOO                OO  (OO)
                          OOOOO                OO  
                          OOOOO                OO  (OO)
                          OOOOO                OOOO (......)
                   จำนวนคำที่ใช้ บาทละ 7 คำ เว้นบาทสุดท้าย 9 คำ ตรงตามตำราภาษาไทย ทุกสมัย ที่ขาดไปคือ คำสร้อย บาทสุดท้ายมิได้ใช้  แต่หลักภาษาระบุใส่สร้อยได้ 2 คำ
               (2) แผนผังโคลงสี่สุภาพที่จำยากมากคือตำแหน่งคำเอกเจ็ดโทสี่  โคลงสองบทนี้ผู้แต่งท่านวางไว้ตรงตำแหน่งเอกโท ที่บังคับทุกบาท
                          OOOเล่าอ้าง             OO  (OO)
                          Oย่อมOOO              ทั่วหล้า  
                          OOพี่OO                 Oตื่น  (OO)
                          Oพี่OOอ้า                อย่าได้OO (......)

                          OOOลิ่วล้ำ                OO  (OO)
                          Oยี่OOO                  พี่พร้อง  
                          OOช่วยOO               Oม่าน  (OO)
                          Oบ่OOคล้อง              คร่าวน้ำOO (......)
             ตำแหน่งคำเอกคำโท ตรงกันทั้งสองบท ช่วยให้นักแต่งโคลงจดจำคำเอกโท ว่าวาง
ตำแหน่งไหนบ้าง ไม่มีพลาด

               (3) สัมผัสนอกที่บังคับให้แต่ง  ตรงกันทั้งสองบท คือ คำปลายบาทที่ 1 ส่งสัมผัส
ไปคำที่ 5 บาทที่สอง และส่งต่อไปคำที่ 5 บาทที่สาม  อีกบังคับคำโทบาทที่ 2 ส่งสัมผัสไปคำโท
คำที่ 5 บาทที่ 4 
                          OOOOO                Oใด  (OO)
                          OOOOใคร              Oหล้า  
                          OOOOไหล              OO  (OO)
                          OOOOอ้า                OOOO (......)

                          OOOOO                Oบาง  (OO)
                          OOOOพราง            Oพร้อง  
                          OOOOนาง                OO  (OO)
                          OOOOคล้อง                OOOO (......)

                เพียงท่องจำโคลงแบบอย่าง สอง บทนี้ เราก็สามารถเรียนรู้ ฉันทลักษณ์ แผนผังบังคับของโคลงสี่สุภาพได้เป็นอย่างดี

               (4) ยังมีเทคนิคการแต่งโคลงที่ปรากฏในโคลงสองบทนี้อีกหลายเรื่อง สุดแต่จะวิเคราะห์หรือพิจารณาดูกันครับ กระผมขอแตะ ดูเป็นแนวก็แล้วกัน

              ก.  จังหวะคำโคลง    OO/OOO          OO  (OO) ลองอ่านแบบใช้จังหวะแบบนี้พบว่าอ่านได้คล่องดีทุกบาททั้งสองบท เมื่อจะแต่งโคลงผมก็จะเลี่ยงไม่ใช้คำที่คร่อมจังหวะ เพราะจะอ่านสะดุด

              ข. สัมผัสใน เล่นสัมผัสพยัญชนะมากทั้งสองบท  
                  โคลงจากลิลิตพระลอ
                  บาทที่ 1 เล่นเสียง ส- ล สลับ ส-ล แถมเล่นเสียง อ.....อ ระหว่างวรรค เรียกว่าเต็มที่
บาทที่ 2 เส่นสัมผัสเสียง ย สามคำติด ๆ
บาทที่ 3 เส่นสัมผัสเสียง ล 3คำ แถมเล่นข้ามวรรคได้ด้วย 
บาทที่ 4 มีเล่นเสียง อ สองคำ
              ค. การเล่นคำ เสียง ได้ 3 แห่ง สละสลวย ไม่รู้สึกเกินแต่อย่างใด เล่นคำ สอง ก็เพราะ
เล่นคำโบราณ เขือ เผือ ดูเคร่งขรึม เก่าแก่ ดี
               ง. โคลงลิลิตพระลอ ใช้คำพื้น ๆ คำไทยแท้เป็นส่วนมาก มีคำสันสกฤตคือ ยศ ก็เป็น
คำธรรดาเข้าใจกันทั่วไป

              โคลงจากนิราศนรินทร์
               จ. สัมผัสในโคลงจากนิราศนรินทร์
บาทที่1  ใช้คำมาซ้ำแต่คนละความหมาย สัมผัสเสียง ล สามคำแถมสัมผัสข้ามวรรคด้วย
บาทที่ 2 ใช้สัมผัสเสียง ร ร และ พ-พ-พ เสียง พ สัมผัสข้ามวรรคด้วย
บาทที่ 3 ใช้สัมผัสเสัยง ผ-พ และ เสียง ม-ม แถมสร้อยมี ม
บาทที่4 ใช้สัมผัสเสียง  -ค -ค - ค-ค  มีสัมผัสข้ามวรรคด้วย
              ฉ. การเล่นคำ มีเหมือนกัน เช่นคำ ลำบาง บางยี่เรือ บ่างบ่รับ
              ช. การใช้คำไทยพื้น ๆ ไม่มีคำต่างประเทศปน

.............ลงมือฝึกแต่งโคลง

.............ผมเคยถามเพื่อนที่เรียนเอกภาษาไทยด้วยกัน และถามครูอาจารย์ว่าทำไมไม่ค่อยแต่งโคลง กัน
แต่งแต่กลอนมากมาย  
ได้คำตอบคล้าย ๆ กันคือ
            1. จำแผนผังบังคับไม่ได้
            2. คำเอกคำโทน่าเบื่อ หามาใช้ไม่ได้ดังใจ
            3. แต่งได้แต่อ่านไม่ค่อยจะเพราะ
            4. อ่านที่กวีท่านเขียนแล้วหมดแรงฮึด

             ข้อมูลที่ได้มา ข้อ 1 สำหรับเราไม่มีปัญหา นับแต่ท่องจำโคลงแบบอย่างได้ ข้อ 3และ 4 คงไม่อาจแก้ไขได้ หัดแต่งจะให้เพราะแบบศรีปราชญ์เป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว  สำหรับข้อ 4 ปรับวิธีการอ่านงาน
กวีจากอ่านแล้วทำให้ท้อใจ แก้ให้เป็นการอ่านแบบหาเรื่อง คือหาดูว่าทำไมมันไพเราะ ทำไมอ่านแล้ว
ติดอกติดใจ แบบนี้ก็ไม่ท้อแล้ว มีแต่
อยากรู้ว่า เพราะเหตุใด  อย่างนี้ถึงจะดีต่อการแต่งโคลงของเรา
อีก เหลือข้อ 2 เอาไว้หาทางฝึกเพือแก้ปัญหา เพราะ
เราเองก็ติดตรงนี้เหมือนกัน

          4.1   ฝึกหาคำเอกโทที่อยู่ติดกัน 2 คำ ตั้งใจจะสะสมคำเอคำโท ซัก 500 คู่ ครบแล้วน่าจะทำ
ให้นึกหาคำเอกโท ง่ายกว่าอ่น ๆ ตกลงทำตามที่่คิด สมุดเล่นหนึ่ง เขียนป้ายไว้เลยว่า "สะสมคำเอกโท" 
ไม่ได้เขียนหรอก เพราะจะใช้คอม เปิดโปรแกรมเอกเซลมาทำดีกว่า  พิมพ์คำเอก หรือคำตายลงไป
ที่เซลแรก  ขวามือก็หาคำโทที่ประกอบกันกับคำเอกได้ใจความ หาหลาย ๆคำ เช่น

     พี่น้อง พี่ข้า พี่อ้าย  พี่เอื้อย  พี่เพี้ยน  พี่ช้าง พี่ม้า  พี่ต้อง พี่เต้น พี่เร้น  พี่สร้อย  พี่ไห้ พี่จ้าง
     อย่าช้า อย่าใช้  อย่าข้าม อย่าเข้า อย่าร้าย อย่ารู้  อย่าเร้น อย่าเจ้า อย่าเข้า อย่าข้อง อย่าร้อง
     บ่กล้า บ่ใกล้ บ่ก้ำ บ่คร้าน บ่คล้าย  บ่เคล้า  บ่เง้า  บ่ง้ำ  บ่จ้าง บ่ได้ บ่เต้น บ่ต้อง บ่ล้าง บ่ย้าย บ่รู้
     ผ่องแผ้ว ผ่องหน้า ผ่องแจ้ง  ผ่องเพียง  ผ่องคล้าย  ผ่องแม้น  ผ่องแพร้ว  ผ่องสิ้น  ผ่องล้น
     ห่างน้อง ห่างบ้าน ห่างห้อง ห่างเจ้า ห่างเศร้า ห่างไห้ ห่างร้าย ห่างพ้น ห่างห้วง  ห่างร้อน ห่างแล้ว
                การสะสมคำเอกโท แก้ปัญหา การหาคำเอกโทยาก ต่อไปก็ฝึก ยากขึ้น โดยต่อคำทีละ 5 คำ 
โดยฝึกปากเปล่า หรือเขียนลงกระดานก็ได้ ให้การฝึกเอื้อต่อการแต่งโคลง วรรคแถวหน้าที่มี 5 คำ และ
มีคำเอกโทอยู่ในตำแหน่งที่ต่างกัน เป็นการฝึกหาความชำนาญในการเลือกคำเอกคำโทมาลงตำแหน่งที่
ต้องการ เช่น

           4.2  ฝึกต่อคำ ทีละ 5 คงเคยเห็นเด็ก ๆ ต่อคำเล่นกัน แต่กำหนดเพียงสองคำ ซึ่งยังไม่มีผล
ต่อการแต่งโคลง อยากให้ฝึกกันคราวละ 5 คำ รับสัมผัสด้วยคำที่ 1/2/3 ตามใจชอบ ลองดูก่อนโดย
ยังไม่กำหนดเกณฑ์ เมื่อเห็นว่า ทำได้ ค่อยฝึกตามหลักเกณฑ์ที่ใช้ในการแต่งโคลง วรรคข้างหน้าของ
บาทที่ 1 - 4 ดังนี้
............ฝึกต่อคำทีละ 5 คำ บังคำให้ 3 คำแรกเป็นคำสุภาพ คำที่ 4-5 เป็นคำเอกโท หรือคำตายกับคำโท
ต่อคนเดียวให้ได้ซัก 50 ข้อความ เช่น   ฉันเดินมาแต่บ้าน     ตาลออกมาแต่เช้า    เขากำลังนุ่งผ้า
ตาโมโหด่าให้    ใครมันมาแย่งข้า  หมามันคาบแล่นลี้  ฯลฯ
............ต่อคำทีละ 5 คำ ให้คำที่ 2 เป็นคำเอก นอกนั้นเป็นคำสุภาพ เกณฑ์นี้เลียนมาจากบาทที่ 2 เช่น  
ฉันอยู่คนเดียวนะคุณ     ฉุนแต่ออกเดินทาง  กางแต่แผนอวดกัน  ฉันไม่ชอบคุณเลย   เฉยก่อนนะนงศรี
บอกพี่มาเลยหนู    ดูแต่ตาเฉยเฉย   เคยแต่งโคลงไหมเธอ 
          ต่อคำทีละ 5 คำ คำที่ 3 เป็นคำเอก นอกนั้นเป็นคำสุภาพ เกณฑ์นี้เลียนแบบจากบาทที่ 3 วรรค
หน้านั่นเอง เช่น    เดินไปอย่าหันมา   ตาไปก่อนละหนู  ดูทางหน่อยนะคุณ  บุญเหลือเมื่อเจอยาย ขายของร่ำรวยไหม  ใจมันอยู่กับเธอ  เจอมากช่างพูดจา  หมาฉันเห่าทุกคืน ฯลฯ    
          ต่อคำ 5 คำ ให้คำที่ 2เป็นคำเอกและให้คำที่ 5 เป็นคำโท นอกนั้นคำสุภาพ เกณฑ์ข้อนี้ปรับมา จาก
บาทที่ 4 วรรคหน้า     เธอเล่นเป็นกองหน้า        ฉันว่าเป็นครูแก้ว         แมวนั่นมันเป็นบ้า   หมานี่ดุกัดด้วย
ฉันช่วยถือของให้   เธอใหญ่นักหรือน้อง     เขียนคล่องจริงนะน้า   
           4.3 ลงมือแต่งโคลง
          ฝึกมาถึงตรงนี้  ความวิตกกังวลเรื่องการแต่งโคลงนาจะหมดไปแล้ว เลหือแต่เพียง ลองเรียบเรียง
ให้เป้นโคลงตามแผนผังบังคับเท่านั้น ซึ่งไม่ยากอะไร จำโคลงต้นแบบได้แล้ว ก็ลุยได้เลย
                 ฉันจักลองแต่งบ้าง.......คำโคลง (พ่อเอย)
              ฝึกใหม่ถีงมิโยง................เชื่อมบ้าง
               มิถือบ่คิดโกง..................คิดใหม่ (นาพ่อ)
              ดูง่ายเอาอวดอ้าง.............อย่างนี้คือโคลง
                 โค..ลง เออใช่แล้ว........ตรองดู (แลนา)
              ผิดแต่งพลาดเป็นครู........ท่องไว้
               มิผิดเก่งมากหนู.............รีบแต่ง (งามแฮ)
              รออ่านขอบอกให้.............เก่งได้จริงเจียว

             
              4.4 ฝึกใช้คำสัมผัสพยัญชนะ แบบสัมผัสชิดติดกันหลาย ๆ คำ ซึ่งค่อนข้างจะยาก แต่นั่นแหละท้าทายดีลองวรคแรกของบาทที่ 1 ก่อน ทำได้ก็เปลี่่ยนเป็นวรรคแรกของบาทท่ี่ 2 บาทที่ 3 และ บาทที่ 4  พอฝึกครบ 4 บาท เชื่อได้เลยว่า การหาสัมผัสพยัญชนะมาแต่งโคลง ไม่ได้ยากเกินไป

วรรคแรกบาทที่1 

         กลกานท์เกลากล่อมเกื้อ  กรองกานท์กลก่อกว้าง  ขวนขวายขันแข่งข้อง   ของเขาขอบเขตเค้า   คิดคำคงขัดข้อง คำใครคงไคร่ข้าง  งุนงงงามแง่เงื้อม  จับใจจับจิตเจ้า   จอมใจจอมจิตเจ้า  เจ็บจิตจิตเจ็บเจ้า  ชมเชยชิดแช่มช้อย ฉุนฉมชมชื่นเช้า  ยลยินยามย่างย้าย  ยามเย็นยังอยู่เหย้า  เดินดูดมดอกได้  ตูมตังแตกต่างแต้ว  บนบานบอกบนใบ้

วรรคแรก บาทที่ 2 

                กาพย์ก่อกรองกลกานท์  เกิดแก่กลับกลายกรรม  กรรมก่อเกิดกงเกวียน  ขันแข่งขอขับขาน  แขแข่งข้นขัดขวาง  ใครใคร่ครวญคงควร  คนคลั่งคิดขวางเขา   โงกง่วงหงุดหงิดงง  งามแง่งามงอนหงอ  จนแจ่มแจกแจงจริง  จูงจ่องจิตจับใจ  ชมชื่นชิดชวนชม  เชยชื่นชิดชมเชย  ยามย่างยลยวนยี  
แยกอย่างยลหยาบหยาม  เดินดุ่มดูเดียวดาย

วรรคแรก บาทที่ 3

      ตูมตังต่างตูมตาย  เตยตาวต่างแตกตา  ตอตับเต่าแตกตา  ทุกข์ทนเท่าทุกทาง  ทับทุกข์ที่ทนทาน  นวลนุชน่านวลนิล ทับถมเที่ยวถากถาง ทักท่ายท่านทุกที   นางหนอหน่อนงนวล  นวลนิตย์หน่ายแหนงหนี  มาดหมายหมู่มิตรมวล  ยูงยางอยู่ยอดยาง เมียงมองหมู่หมาหมาย  มาดมิตรมุ่งมิตรมา ยามเยือนอยู่เย็นเย็น

วรรคแรก บาทที่ 4
   หายห่างหาหากให้  หอห่างหอโหดเหี้ยม  โอนอ่อนอดออมอ้าง  อรอ่อนเออออดอ้อน  รักเร่รักเรียมร้าง  ลองเล่นลางแล่นแล้วสมสู่สมเสร็จสร้าง  สองสร่างสมเสพแสร้ง  ไกลกว่าไกลกลบใกล้  ขมขื่นคงคับแค้น  ชมชื่นเชยชิดใช้  เยื่อนเยี่ยมยังโยกย้ายจดจ่อจนแจ่มแจ้ง ฉุนเฉี่ยวโฉบชิดใช้
      
            4.5  ฝึกสัมผัสข้ามวรรคภายในบาท

กรรมก่อเกิดกงเกวียน กีดกั้ง กาพย์ก่อกรองกลกานท์ กาพย์เกื้อ
เกิดแก่กลับกลายกรรม ก่อใกล้ ขันแข่งขอขับขาน คู่ค้า
แขแข่งข้นขัดขวาง แข่งเข้า กรองกานท์กลก่อกว้าง กลกลอน
กลกานท์เกลากล่อมเกื้อ กลางกมล ขวนขวายขันแข่งข้อง คลาคลาย
ของเขาขอบเขตเค้า ขายคืน ตอตับเต่าแตกตา ติดต่อ
ตูมตังต่างตูมตาย ตาวตาด เตยตาวต่างแตกตา แตกต่อ
ทับทุกข์ที่ทนทาน ทุกข์ท่วม ทุกข์ทนเท่าทุกทาง ทุกที่
รักเร่รักเรียมร้าง เล่ห์ร้ายรุกรน หอห่างหอโหดเหี้ยม หากเหี้นมโหดเหลือ
หายห่างหาหากให้ เหี่ยวแห้งห่างหาย อรอ่อนเออออดอ้อน อ่อมอ้อมอวดเอง
                สรุปส่งท้าย เนื่องจากแนะนำแต่งโคลงมาถึงตอนจบแล้ว จึงขอฝากว่าต่อจากนี้ไปเป็นการฝึกให้เกิดความชำนาญฝึกสอดแทรกสัมผัสในบทโคลงที่แต่ง ซึ่งจะทำให้โคลงที่แต่งอ่านได้เพราะมากยิ่งขึ้น ข้อสำคัญคือการฝึกบ่อย ๆ ไม่ท้อครับ
----------------------------





แบบอย่างกลอน

          ------------------กลอนแบบอย่าง.............................
.............มีคนถามว่าผมได้แบบอย่างการแต่งกลอนจากไหน เอาแบบที่ตรงตามฉันทลักษณ์และถือเป็นครูได้ ตอบตรง ๆ ได้เหมือนกันครับผมได้แบบอย่างกลอนของท่านสุนทรภู่ ชอบมาก อ่านจบแทบทุกเรื่อง
ขนาดตอนทำวิทยานิพนธ์ยังเลือกการทำสื่อการสอนเรื่องนิราศภูเขาทองแบบว่าชอบมากว่างั้นเถอะ ลองยกมาอ่านซักสองสามบทแล้วจะวิเคราะห์ให้ดูว่า มีอะไร ดี ๆ อยู่ในนั้น ( ขอนำโพสที่หน้าเฟซ เผื่อคนอื่นที่สนใจได้อ่านด้วย )

บทกลอนที่นำมาเป็นตัวอย่าง

.......๏ ถึงโรงเหล้าเตากลั่นควันโขมง…มีคันโพงผูกสายไว้ปลายเสา
โอ้บาปกรรมน้ำนรกเจียวอกเรา…….... ให้มัวเมาเหมือนหนึ่งบ้าเป็นน่าอาย
ทำบุญบวชกรวดน้ำขอสำเร็จ…….…... สรรเพชญโพธิญาณประมาณหมาย
ถึงสุราพารอดไม่วอดวาย…………..…. ไม่ใกล้กรายแกล้งเมินก็เกินไป
ไม่เมาเหล้าแล้วแต่เรายังเมารัก…....... สุดจะหักห้ามจิตคิดไฉน
ถึงเมาเหล้าเช้าสายก็หายไป…..…….. แต่เมาใจนี้ประจำทุกค่ำคืนฯ
                                                                               จากนิราศภูเขาทอง

1. ผมชอบอ่านบทกลอนท่านสุนทรภู และใช้เป็นแบบอย่างสำหรับแต่งบทกลอนของตัวเอง ในแง่ฉันทลักษณ์ เราจะเห็นได้ ดังนี้

.........ท่านนิยมให้คำวรรคละแปดคำ ก็มีบ้างบางวรรคมากหรือน้อยกว่า
แต่ดูแล้วก็เข้าใจ เพราะมีคำหลายพยางค์ที่อ่านรวบจังหวะกลอนได้
.........จังหวะกลอบแบบ 3-2-3 ใช้ได้ดีกับทุกวรรค ทำให้อ่านไพเราะ
วรรคที่เกินอ่าน 3-3-3 ก็ยังอ่านได้ดี
.........ท่านระวังการใช้คำท้ายวรรคในแต่ละบท ไม่มีคำที่อ่านแล้วติดขัด
เพียงกลอน 3 บท ที่ยกมาให้อ่านจะพบว่า 
วรรคที่ 1 ไม่นิยมลงท้ายด้วยเสียงสามัญ เสียงอื่นเห็นใช้ทั่วไป
            โขมง (จัตวา)  สำเร็จ (เอก)  รัก  (โท)
วรรคที่ 2 นิยมเสียงจัตวาลงท้ายมากกว่าเสียงอื่น ๆ 
           เสา (จัตวา) หมาย (จัตวา) ไฉน (จัตวา)
วรรคที่ 3 นิยมลงท้ายด้วยเสียงสามัญ 
          เรา (สามัญ) วอดวาย(สามัญ) ไป (สามัญ)
วรรคที่ 4 นิยมลงท้ายด้วยเสียงสามัญ 
         น่าอาย (สามัญ) เกินไป (สามัญ) ค่ำคืน (สามัญ)

       ยกตัวอย่างมาแค่ 3 บท แสดงให้เห็นการใช้คำลงท้ายวรรค ในระดับเสียงวรรณยุกต์ที่ท่านนิยมใช้ ถ้าอยากให้มั่นใจก็ควรอ่านมาก ๆจะได้เห็นคำลงท้ายวรรคที่ท่านใช้แตกต่างออกไป 

2. ผมชอบกลอนสุนทรภูที่ท่านมักสอดแทรกสิ่งสอนใจคนอ่านไว้แบบไม่ให้เสียเวลาอ่านเพลิน ๆไปเฉย ๆ ได้คติ คำเตือน ความรู้ไปด้วยดังตัวอย่าง กล่าวถึงโทษของเหล้า  บทถัดจากนี้ก็กล่าวถึงการพูดจา   
การสอดแทรกแบบนี้มีมากในบทกลอนของท่าน

    ๏ ถึงบางพูดพูดดีเป็นศรีศักดิ์………. มีคนรักรสถ้อยอร่อยจิต
แม้นพูดชั่วตัวตายทำลายมิตร……... จะชอบผิดในมนุษย์เพราะพูดจาฯ
                                                                                 จากนิราศภูเขาทอง

3. อ่านบทกลอนท่านสุนทรภู่ เข้าใจความรู้สึกขณะที่ท่านเขียนได้เลยว่า ดีใจ เสียใจ รัก ชอบ ไม่ชอบ เพราะความสามารถในการถ่ายทอดความรู้สึกนึกคิดลงในตัวอักษรท่านทำได้ดีเยี่ยม ดูตัวอย่าง

   ๏..สำรวลกับเพื่อนรักสะพรักพร้อม อยู่แวดล้อมหลายคนปรนนิบัติ
โอ้ยามเข็ญเห็นอยู่แต่หนูพัด………. ช่วยนั่งปัดยุงให้ไม่ไกลกาย
จนเดือนเด่นเห็นกอกระจับจอก…….. ระดะดอกบัวเผื่อนเมื่อเดือนหงาย
เห็นร่องน้ำลำคลองทั้งสองฝ่าย…. .ข้างหน้าท้ายถ่อมาในสาคร
จนแจ่มแจ้งแสงตะวันเห็นพันธุ์ผัก... ดูน่ารักบรรจงส่งเกสร
เหล่าบัวเผื่อนแลสล้างริมทางจร….. ก้ามกุ้งซ้อนเสียดสาหร่ายใต้คงคา
สายติ่งแกมแซมสลับต้นตับเต่า….. เป็นเหล่าเหล่าแลรายทั้งซ้ายขวา
กระจับจอกดอกบัวบานผกา………. ดาษดาดูขาวดั่งดาวพราย
                                                                              จากนิราศภูเขาทอง
4. การสอดแทรกความรู้ความเข้าใจธรรม ท่านสุนทรภูบวชอยู่วัดหลายพรรษา ท่านถ่ายทอดหลัก
ธรรมไว้ในบทกลอนอย่างแนบเนียนเข้าใจง่าย

๏ ขอเดชะพระเจดีย์คีรีมาศ……...…. บรรจุธาตุที่ตั้งนรังสรรค์
ข้าอุตส่าห์มาเคารพอภิวันท์………... เป็นอนันต์อานิสงส์ดำรงกาย
จะเกิดชาติใดใดในมนุษย์………...... ให้บริสุทธิ์สมจิตที่คิดหมาย
ทั้งทุกข์โศกโรคภัยอย่าใกล้กราย.. ....แสนสบายบริบูรณ์ประยูรวงศ์
ทั้งโลโภโทโสแลโมหะ ………….....ให้ชนะใจได้อย่าใหลหลง
ขอฟุ้งเฟื่องเรืองวิชาปัญญายง…….. ทั้งให้ทรงศีลขันธ์ในสันดาน
อีกสองสิ่งหญิงร้ายแลชายชั่ว…........ อย่าเมามัวหมายรักสมัครสมาน
ขอสมหวังตั้งประโยชน์โพธิญาณ....... ตราบนิพพานภาคหน้าให้ถาวรฯ
                                                                            จากนิราศภูเขาทอง

5. การเล่นสัมผัสใน ถือเป็นจุดเด่นกลอนท่านสุนทรภู่ เพราะท่านสามารถสอดแทรกสัมผัสในไว้แทบทุกวรรค  ดังตัวอย่างบทกลอน  ขอเดชะพระเจดีย์คีรีมาศ ฯ จะเห็นสัมผัสใน แบบนี้

.        ...กลอนวรรคที่วางอยู่ด้านหน้า คือวรรคที่ 1 และ ของบท ตำแหน่งคำที่เล่นสัมผัสใน

  OOO  OO  OOO  มักแต่งให้คำที่ 3 และคำที่ 4 สัมผัสสระ กัน
  OOO  OO  OOO  มักแต่งให้คำที่ 5 สัมผัสสระกับคำที่ 6 หรือ 7
  OOO  OO  OOO  อาจมีสัมผัสพยัญชนะแทรกบ้างไม่มากนัก
  OOO  OO  OOO  แต่สัมผัสสระมีแทบทุกวรรค 

......กลอนวรรคด้านหลังได้แก่วรรคที่ 2และ 4 แต่ละบท        OOO  OO  OOO 
คำที่ 3 ตำแหน่งรับสัมผัสจากคำท้ายวรรคแถวหน้า               OOO  OO  OOO 
ไม่พบว่าท่านเล่นสัมผัสในแบบสัมผัสสระกับคำที่ 4              OOO  OO  OOO 
แต่พบว่าท่านเล่นสัมผัสพยัญชนะแทน หรือไม่ก็ทิ้งไป         OOO  OO  OOO 
ส่วนคำที่ 5 ยังเล่นสัมผัสในแบบสัมผัสสระได้กับคำที่ 6 หรือ 7

.........จากข้อคิดเห็นส่วนตัวที่นำเสนอไว้นี้ น่าจะพอตอบคำถามที่ว่า ผมใช้กลอนแบบอย่างที่ถือเป็นครูคือ กลอนท่านสุนทรภู่ ทุกเรื่องแหละครับ กลอนคนอื่น ๆ ที่ไพเราะก็มีนะ แต่ไม่ค่อยได้อ่านบ่อยเหมือนกลอนสุนทรภู่ ตัวอย่างกลอนที่กระผมแต่งเองก็พอมีนะครับ ลองไปดูที่ผมอัพไว้ที่เวบบลอกต่อไปนี้ ( คัดลอกไปวางกูเกิล ค้นหาให้ก็ได้ หรือวางที่แถบ เมนูบาร์ URL ของบราวเซอร์ก็ได้)

http://nrongnu59.blogspot.com/

http://khuntong52.blogspot.com/

http://mykht.blogspot.com/

วันอาทิตย์ที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

ฝึกแต่งกาพย์ฉบัง 16

......................แนะนำแต่งกาพย์ฉบัง 16....................
---------------
.................เขาเชิญไปแนะนำเด็กนักเรียนแต่งกาพย์ฉบัง ปรากฏว่านักเรียนมี 15 กว่าคน อีก 10 คน เป็นคุณครู ผู้เชิญเราคือหัวหน้าหมวดวิชาภาษาไทย ได้พบผู้อำนวยการโรงเรียน ทานข้าวเที่ยงแล้วก็ได้พบคณะที่ให้มาบรรยาย ก่อนนี้เราเป็นหัวหน้าฝ่ายวิชาการที่โรงเรียนนี้ ครูเขารู็จักว่าเราจบวิชาเอกภาษาไทยแล้วเขียนร้อยกรองแบบไม่เลือกเวลาหรือสถานที่ นั่งรถบัสก็เขียนได้ สอนนักเรียนไม่ต้องท่องตัวอย่างไปอ้าง เขียนมันสด ๆ หน้าห้องนั่นแหละ คงอยากฟังด้วย อยากให้คนเห็นตัวจริงด้วย ตอนแนะนำวิทยากร ฟังแล้วแทบตัวลอย เว่อร์ไม่มี
................ท่านรอง เป็นครูของดิฉันเอง เอกวิชาภาษาไทย แต่สอนวิชาศีลธรรมเพราะท่านเป็นมหา ทั้งโรงเรียนมีคนเดียว ท่านแต่งกาพย์กลอน โคลง ไวกว่าพวกเราแต่งเรียงความ .ฯลฯ.ก่อนอื่นขอความกรุณาท่านรอง แนะนำตัวสั้น ๆ ด้วยการเขียนเป็นร้อยกรอง ฉายออกมอนิเตอร์เลยนะคะ อันนี้ไม่ได้บอกอาจารย์ล่วงหน้าตั้งใจจะเผาเลยแหละค่ะ.....เงียบกริบกันทั้งห้อง เพราะไม่ค่อยจะได้เห็นการเล่นแกล้ง วิทยากรแบบนี้.....เรายังยิ้มเฉยอยู่ไม่ได้เครียด  เพราะไม่มีปัญหาอะไร
...............สวัสดีคุณครูนักเรียน คนชอบขีดเขียน วันนี้อยากฟังท่านรอง
            ร่ายยาวการแต่งคำกรอง ฉบังทำนอง    แต่เริ่มฝัดหัดลองดู
            ผมชื่อขุนทองหนูหนู     ก่อนเป็นคุณครู  โรงเรียนแห่งนี้เช่นกัน
            เรียนจบเอกไทยพร้อมสรรพ์  แต่เรื่องสำคัญ มิค่อยได้สอนจริงจริง
            เคยสอนนักเรียนชายหญิง   ศีลธรรมเขาติง  ครูเทศน์เหมือนท่านหลวงตา
            วันนี้จักสอนภาษา       แต่งกาพย์นำพา      ฉบังสิบหกตกลง
             ตั้งใจติดตามอย่าหลง   นั่งให้ตัวตรง     อย่ามัวนั่งหลับยามฟัง
                                 ฯลฯ
.................ครับแนะนำปากเปล่าเพื่อขู่คนฟัง ให้รู้ว่าเราไม่ใช่ขี้หมูขี้หมานะ อยากได้ความรู้ให้ตั้งใจฟัง ก็ได้ผลนะ เงียบทั้งห้องแม้ส่วนมากเพราะหลับ
..............กาพย์ฉบังตามหัวข้อสำหรับผู้ฝึกแต่ง ไม่ต่างจากร้อยกรองอื่น ๆ คือมีความรู้เรื่องร้อยกรอง รู้จักแผนผังบังคับกาพย์ฉบัง และมีวัตถุดิบคือรู้จักคำมากพอ  ร้อยกรอง หมายถึงร้อยคำที่คัดกรองมาแล้วให้เป็นเรื่องราวที่งดงามเหมือนเขาร้อยมาลัย แต่เราร้อยถ้อยคำ คำก็ต้องคัดกรองมาอย่างดี คำสุภาพ คำเอก คำโท คำเป็น คำตาย จะหวะบทร้อยกรองชนิดต่าง ๆ ค่านิยมคำลงท้ายบทร้อยกรอง ต้องรู็จักมาแล้ว ถ้ายังไม่รู้จัก ก็ไปหาศึกษาเพิ่มเติมเอาเองวันนี้ไม่มีเวลาทบทวนให้แล้ว  จากนั้นก็มาศึกษาแผนผังบังคับเพื่อทดลองฝึกแต่งตามแบบ แต่งได้แล้วค่อยพัฒนาให้ดูดียิ่งขึ้น
.............แผนผังกาพย์ฉบัง ท่องตัวอย่างกาพย์ฉบับ มา 2 บท แล้วค่อยมาวิเคราะห์คือจำแนกแยกแยะดูว่า  องค์ประกอปที่เป็นกาพย์ ฉบัง  16 ทำไมไม่เป็น 11 เหมือนกาพย์ยานี 11 บทหนึ่งเขาแต่งยาวแค่ไหน มีการใช้คำใส่ลงไปในแต่ละวรรคอย่างไร มีจังหวะคำไหม บังคับสัมผัสอย่างไรทำอย่างไรกาพย์ถึงจะอ่านไพเราะ ต้องมีคำถามในใจไว้ก่อน แล้วค่อยไขข้อข้องใจจากข้อแนะนำที่วิทยากรแนะนำ
............ตัวอย่างการพย์ฉบัง 16 ถ้าเคยบทสวดมนต์ไหว้พระสุดสัปดาห์ได้
แสดงว่าท่องกาพย์ฉบับ 16 ได้ เช่น 
บท         ธรรมะคือคุณากร      ส่วนชอบสาทร
             ดุจดวงประทีปชัชวาลย์
หรือ บท   สงฆ์ใดสาวกศาสดา  รับปฏิบัติมา
             แต่องค์สมเด็จภควันต์
.........จังหวะการอ่านกาพย์ฉบังนิยมอ่านเป็นคู่ ๆ จึงเขียนแผนผังง่าย 
วรรคแรก 3 คู่ วรรคที่ 2 มี 2 คู่ วรรคที่ 3 มี 3 คู่ บทหนึ่งมี 3 วรรคเท่านั้นเอง
จำนวนคำที่ ใช้ 8 คู่ ก็ 16 คำพอดี ตรงตามชื่อ กาพย์ฉบัง 16 
    บทที่ 1  OO OO OO    OO OO
               OO OO OO    
     บทที่ 2 OO OO OO    OO OO
               OO OO OO    
..........สัมผัสนอกอันเป็นสัมผัสบังคับ บทหนึ่งมี คู่เดียวคือ คำที่ 6 วรรค ที่ 1กับคำที่ 4 วรรคที่ 2  ส่วนคำท้ายบท เอาไว้ส่งสัมผัสให้บทต่อไป คือส่งให้คำที่ 6 วรรคที่ 1 ของบทต่อไป
........ผลจากการวิเคราะห์ดูจะช่วยให้เขียนแผนผังกาพย์ฉบับ 16 ได้โดยไม่ยากเย็นอะไร ก็ลองดูได้เลย
.........เทคนิคการแต่งกาพย์ฉบังให้อ่านไพเราะ
.........1. จำจังหวะเป็นคู่ ๆ ให้ดี อย่าให้มีการใช้คำคร่อมจังหวะ คำหลายพยางค์เลียงคำพยางค์คี่ เช่น 3 พยางค์ 5 พยางค์  เพราะต้องอ่านคร่อมจังหวะกาพย์ คำหลายพยางค์ที่เป็นพยางค์คู่ ยังใช้ได้ดี เช่น 2 พยางค์ 4 พยางค์ หรือ 6 พยางค์
ตัวอย่างคำหลายพยางค์
        นักเรียน  ปัญญา นารี สีกา  บทเรียน  คำ 2 พยางค์
        กิริยา  มารยาท  ประชาชน  สุริยา  ศศิธร  คำ 3 พยางค์
        จตุรพร  ฉันทานุมัติ  ประชามติ  อริยสัจ    คำ 4 พยางค์
.........2. สัมผัสในช่วยให้กาพย์ไพเราะ ใช้ได้ทั้งสัมผัสสระ สัมผัสพยัญชนะ
          ฉันทะจะชอบตอบสนอง        พากเพียรครรลอง
           จิตตะติดตามตรองดู
.........3. การแต่งแบบเล่นคำ ใช้คำบางคำซ้ำกันในความหมายที่แตกต่างกัน
            รักพ่อรักแม่รักน้อง           รักพวกรักพ้อง
             ฤๅเท่ารักเทียบรักตน
.........4. เนื้อหาสาระ การแต่งร้อยกรองสอดแทรกเนื้อหาสาระ บางทีก็ช่วยให้อยาก
รู้อยากอ่านได้เช่นกัน
            คาถาฉลาดปราชญ์เปรื่อง............ร่ำเรียนฟูเฟื่อง
             สอบได้ยอดเยี่ยมประจำ
ตัวอย่างการแต่งกาพย์ฉบับ
        มาฝึกเขียนกาพย์ ฉบัง  แต่งได้แบบขลัง
        เปิดหมองเรียกมาอิคคิว
        ตั้งใจฟังครูช่วยติว       ยากหน่อยอย่าฉิว
        พากเพียรฝึกฝนพร้อมกัน
        สองบท่องมาพร้อมสรรพ์   บทสวดสำคัญ
        วันศุกร์เคยสวดประจำ
         สวดบทบูชาพระธรรม......พระสงฆ์ชี้นำ
        ท่านแต่งด้วยกาพย์ฉบัง
        บทหนึ่งอ่านดูระวัง............เป็นคู่เพราะฟัง
        ง่ายดีจำได้ต่อไป
        วรรคแรกหกคำจำไข.........วรรคสองตามไป
        สี่คำนิดเดียวดีจริง
         วรรสามหกคำชายหญิง    อย่ามัวนั่งนิ่ง
        เดี๋ยวหลับกันเพลินนะเธอ 
                       ฯลฯ
..........คงแนะนำแค่นี้นะครับ เพราะไม่มีอะไรยุ่งยาก ถ้าต้องการแค่แต่งได้ก็ศึกษาจนรู้จักคำชนิดต่าง ๆ รู้จักคณะแผนผังบังคับ แล้วทดลองฝึกเขียนส่วนจะเขียนได้เพราะต้องใช้ความชำนาญครับ 
  
          

วันเสาร์ที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

รวมบทโคลงอวยพร

บทโคลงอวยพรต่าง ๆ
             ผมชอบเขียนบทอวยพรในโอกาสที่เพื่อน ๆ ญาติมิตร ครบรอบวันเกิด หรือวันสำคัญอื่น ๆ
มักจะเขียนเป็นบทร้อยกรอง คำโคลง มีค่อนข้างมาก วันหนึ่งอยากรู้ว่าเราเขียนอวยพรอย่างไรบ้าง
เลยตามหาดู พบว่าวันเวียนอยู่เรื่องเดิม ๆ สุขสันติ์วันเกิด จตุรพิธพร และบทอวยพรที่พระท่านสวด
กระทู้พวกความสุข ความหวัง โลกธรรมสี่ฝ่ายปรารถนา เลยนำมารวมไว้ด้วยกัน เพื่ออ่านเล่น และ
นำมาไว้เวบบลอกของยาย 
                                                                                          ขุนทอง  ศรีประจง
                                                                                              23/7/2559
----------------------
O. เฉลิมขวัญวันเกิดเจ้า ........... แจ่มจันทน์
ขอส่งพรเสกสรรค์......................ก่อเกื้อ
ไตรรัตน์กราบโดยพลัน.............. เสริมส่ง พรนา
ขอฝากทวยเทพเอื้อ.................. อ่อนได้อวยพร

O..อายุยืนยิ่งพ้น........................ คณนา
พรรณผ่องเพียงจันทรา.............. เด่นได้
สุขกายจิตหรรษา....................... หายโศก
พลยิ่งพลายสารไซร้...................ฝ่าพ้นภัยพาล

O. สบสันต์วันเกิดคล้าย............. วนเวียน
ขอส่งพรขีดเขียน.......... ............ แต่งแต้ม
ไตรรัตน์ทุกเทพเพียร.......... ...... นบนอบ แลนา
พรเอ่ยคำเพียงแย้ม.......... ........ ส่งให้พรหมประทาน

O...กราบ..กรานศิรน้อม...............นมัสการ
พระ...พึ่งสถิตมาน.......................ปกเกล้า
รัตนะ..ผสาน...............................เสริมส่ง
ตรัย...สรณะโปรดเข้า..................โอบเอื้ออวยพร

O..สุข...กายสุขจิตพร้อม............ปรีดา
สันติ์...สงบสุดหรรษา.................ห่างเศร้า
วัน.....วารที่เทพา.............. ........เสริมส่ง...มาแล
เกิด....ก่อนวลนุชเจ้า................. แจ่่มเจ้าวรวิมล

O สุข.....สบายกายจิตด้วย..........ยินดี
สันต์...สงบเพียบเปรมปรีดิ์..........ทั่วหน้า
วัน.....เลิศเทพพรหมมี................พรส่ง
เกิด....ก่อลาภยศฟ้า...................ส่งให้อวยพร

O สุข...เกษมเพียบพร้อม...........กายใจ
สันติ์...สงบทุกข์ใดใด..................อย่าเร้า
วัน...เลิศมิ่งขวัญสมัย...................เทพส่ง มานา
เกิด...รูปนามเต็มเต้า....................เพียบพร้อมบารมี

O สุข...กายสุขจิตด้วย.................เกษมศรี
สันติ์...สงบวิราคี..........................ส่องแจ้ง
วัน...รวมมิ่งขวัญมี.......................มาสู่ แลนา
เกิด..ลาภมิเคยแล้ว.....................หลั่งเต้าเติมมี

O อายุ...สตะล้ำ..........................ล่วงกาล
วรรณะ....ผ่องพรรณปาน............เทพแต้ม
สุขะ......จิตกายสราญ..................รมย์รื่น แลนา
พละ......เพ็ญเพียงแย้ม..............เพียบพร้อมพรหมประทาน

O..อายุ... ยืนยืนยิ่งล้ำ.............. จิรกาล
วรรณะ.จันทรปาน.................... เปรียบได้
สุขะ....สร่างโศกสาน................สบสว่าง....แลนา
พละ....รานอริให้...................... ผ่านพ้นผองภัย

O..อายุ...ยืนยิ่งด้วย..................อสงไขย
วรรณะ...เพริศพิไล....................ลักษณ์ล้ำ
สุขะ...อิ่มกายใจ........................ทุกข์ห่าง แลนา
พละ...รานทุกก้ำ........................ราบแผ้วไพรี

O...นิรทุกข์...ห่างห้วง...............ดำเนิน
นิรโศก...ไกลเกิน......................ห่างแล้ว
นิรโรค...ห่างเหิน......................หายห่วง แลนา
นิรภัย...คลาดแคล้ว...................เทพป้องปลอดภัย

O...นิรทุกข์...ในนอกแคล้ว.........ห่างไกล
นิรโศก..หมองหทัย.....................สร้างสิ้น
นิรโรค...หากไกล........................อาพาธิ แลนา
นิรภัย...เหลือบริ้น.......................อย่าได้รังควาน

O...นิรทุกข์...กายจิตแผ้ว...........ผ่องมน
นิรโศก...มิกังวล..........................สุขแจ้ง
นิรโรค...มิรุกรน...........................รุมเรา แลนา
นิรภัย...วอนเทพแสร้ง.................เสกให้ปลอดคลาย

....O หวังลาภ...ลุลาภแล้ว...........ลาภมี
หวังยศ........ยงยศศรี.................. สง่าล้ำ
หวังเกียรติ....เกรีกไกลตรี............ภพล่วง ลือนา
หวังสุข........สบสันติ์ซ้ำ.............. เทพได้อวยเทอญ ฯ

O..หายทุกข์.....บุญก่อเกื้อ...........เกษมสันติ์
หายโศก....อภินันท์ .....................ผ่องแผ้ว
หายโรค.....สร่างฉกรรจ์.................เกินแกร่ง เทอญนา
หายภัย........กลดั่งแก้ว.................ผ่องเนื้อนิรมล

O..อุดมลาภ....หลากล้วน.............หลั่งมา
อุดมยศ......ดังดารา..................... เด่นแล้ว
อุดมเกียรติ..เด่นนภา...................พราวพร่าง... เทอญนา
อุดมศักดิ์.... เสริมนุชแผ้ว.............ผ่องแผ้วพิมลมาลย์

.O...อุดมทรัพย์..ลุหลั่งล้น............. ลาภมวล
อุดมเกียรติ..เกริกไกรควร............... คู่ฟ้า
อุดมยศ......ยิ่งยงชวน.....................ชนชื่น แลนา
อุดมสุข.....เอิบอิ่มหน้า...................สุขล้นตลอดไป

O อายุวัฒน์...ยิ่งพ้น....................พันพัสสา
วรรณวัฒน์...ดังจันทรา................ส่องแจ้ง
สุขวัฒน์......ส่งหรรษา..................ทุกเมื่อ
พลวัฒน์.....พรหมแสร้ง...............เสกให้ทรงพลัง

O...ธนวัฒน์...หลั่งล้น.................ลาภนอง
สิริวัฒน์...ดังทอง........................สง่าแล้ว
ยสวัฒน์...เพชรกรอง...................ดูเด่น แลนา
กิติวัฒน์...ยิ่งแก้ว........................ก่องแก้วจรัสงาม

.O..อายุวัฒน์.. ยิ่งร้อย................ วัสสะกาล
สิริวัฒน์.... เบิกบาน...................... ค่ำเช้า
กิตติวัฒน์. พรหมมาน................. อวยเกียรติ แลนา
ธนวัฒน์... ลาภเต้า........................ หลั่งเข้าสะสม

O อายุวัฒน์...สตะล้น....................วัสสา
ธนวัฒน์...หลากไหลมา.............ท่วมท้น
สิริวัฒน์...สุริยา...........................เทียมเท่า แลนา
พลวัฒน์..อเนกพ้น....................กว่ากล้าคชสีห์