--------------------------------พบแต่สิ่งดีงาม-------------------------------
..............28 กค.59 แรมแปดค่ำเดือนแปด ยายที่บ้านชวนไปฟังเทศน์ที่วัด ขับรถไปส่งพระกำลังออกบิณฑบาต ยายลงไปใส่บาตร เราเอารถไปจอด ฟังเพลงที่พี่เณรเปิดดังลั่นและเชิญชวนให้ไปวัดทำบุญกัน ส่วนมากตักบาตรแล้วก็จบ ไม่ค่อยไปวัดกัน เคยไปเหมือนกันนะ แต่วันนี้ ไม่ได้ไปร่วมกิจกรรมที่ศาลา เพราะจะไปธุระที่อื่น ได้แต่นึกถึง พร ที่พระสวดให้ตอนใส่บาตร ว่า "อภิวาทนสีลิสส นิจจังวุฑฒาปยายิโน จัตตาโร ธัมมา วัฑฒันติ อายุ วันโน สุขัง พลัง" นี่พระพระท่านให้
---------------โอกาสที่เป็นมงคล ขอให้ท่านโชคดี ได้รับแต่สิ่งดีงามทุกเมื่อ...ฯลฯ......นี่ความปรารถนาดีจากพ่อแม่พี่น้อง ครูอาจารย์ เจ้านาย เพื่อนฝูง มักจะมีสิ่งนี้อยู่เสมอเราก็รับเอาความหวังดีนั้นด้วยความยินดี ไม่เคยสงสัยเลยว่า สิ่งดีงามที่รับเอามา นั้นเกิดผลดีแล้วหรือยัง พระพุทธเจ้าท่านสอนว่า สรรพสิ่งทั้งปวงย่อมเกิดจากเหตุ สังขารสุข ทุกข์ ความดี ความชั่ว ก็เช่นกัน มีเหตุที่ทำให้เกิด ถึงจะปรากฏมีได้ ความดีที่คนอื่นอยากให้เราพบก็เช่นกัน จะยังไม่ปรากฏแก่เรา จนกว่าเราจะสร้างเหตุแห่งความดีให้มีก่อน วิบากคือผลที่ดีงามถึงจะสมหวัง ตามที่คนเขาอยากให้ได้รับ
...............พระท่านสอนว่า สิ่งทิ้งปวงย่อมเกิดจากสาเหตุต่างกัน มีสาเหตุแห่งอกุศล และเหตุแห่งกุศล ท่านเรียก อกุศลมูล 3 และ กุศลมูล 3 สอนกันตั้งแต่เริ่มเรียนนักธรรมตรี เรียนเพื่อสอบก็จริง แต่นำมาใช้กับการดำรงชีวิตของเราได้ เพราะสิ่งที่ดี หรือไม่ดี มักเกิดจากสาเหตุที่กล่าวนี้ทั้งนั้น
...........อกุศลมูล 3 ตัวการที่เป็นสาเหตุให้เราทำสิ่งที่เป็น อกุศลหรือบาป หรือความชั่วแล้วแต่จะเรียก มาจากผู้บงการ 3 คือ โลภะ โทสะ และ โมหะ เช่นกัน ตัวการที่เป็นเหตุให้เราทำ กุศล ทำบุญ ทำความดี ก็คือ อโลภะ อโทสะและอโมหะ ดังนั้นสิ่งที่เราผู้อยากให้ความหวังดี สิ่งที่ดี ที่คนอื่นให้มาเกิดเป็นจริง ก็ต้องทำสาเหตุให้เกิดด้วยการละอกุศลมูล และ ปฏิบัติ กุศลมูล นั่นเอง แล้วมันคืออะไร
อกุศลมูล 3 อย่าง ที่อย่าให้ครอบงำจิตใจเราได้คือ โลภ อยากได้ โทสะโกรธและ โมหะคือ หลงผิด มันจะเกิดมาพร้อมกับตัวตนของเรา เราต้องรู้จักและควบคุมมิให้มันมีพลังจนควบคุมไม่ได้ เมื่อใดควบคุมไม่ได้ก็อาจชักนำให้เราทำสิ่งที่เป็นอกุศลพวกลักขโมย ปล้น จี้ เพราะโลภะแก่กล้าจนควบคุมไม่ได้ พวกที่ดุด่า ทำร้ายคนอื่น เพราะลุแก่โทสะ พวกที่ผิดปกติ งมงายก็เพราะกำลังหลงผิด อกุศลมูลมีติดตัวทุกคนหน้าที่เราคือควบคุมมิให้มันมีอำนาจเหนือจิตใจเรา และพยายามขัดเกลาให้มันเบาบางเพราะถ้าปล่อยให้มันกำเริบบ่อย ๆ มันจะโตขึ้น ๆ ที่คนเฒ่าคนแก่เรียก พวกกิเลสหนาจนกลับกัน แทนที่เราจะควบคุมมันได้ กลายเป็นมันชักจูงเราทำ อกุศล วิบากคือผลที่จะตามมาก็คือ อกุศล บาป หรือความชั่วนั่นเอง
กุศลมูล อโลภะ ไม่โลภ อโทสะ ไม่โกรธ และ อโมหะ ไม่หลงผิด สามตัวนี้ก็มีอยู่ในตัวเรา พร้อม ๆ กับอกุศลมูลนั่นแหละ แย่งที่กันอยู่่ ใครเก่งก็ยึดครองจิตใจได้ชักจูงจิตให้ให้อยากทำสิ่งที่เป็นฝ่ายของตน เช่น อโลภะ แกร่งกล้า อยากทำทาน อยากอยากบริจาค อยากให้คนอื่น อโทสะมีกำลังกล้า จิตใจเยือกเย็นมีความรักมีเมตตาต่อผู้อื่นอโมหะมีพลังมาก เบียดความโง่ไปห่าง ๆ สติปัญญามาแทนที่ มองเห็นแนวทางที่ถูกต้องไม่งมงาย กุศลมูล นี่แหละที่เป็นสาเหตุสำคัญ ให้เราทำสิ่งที่เป็นฝ่าย กุศล ความดีงาม ผลก็คือ ความดีงาม จะเกิดมีแก่เรา ตามความหวังดีที่คนอื่นให้พรเรามา
พุทธศาสนาให้ความสำคัญต่อการควบคุม อกุศลมูล 3 และเจริญกุศลมูล 3 โดยสอนศาสนิกชนให้ปฏิบัติตามหลักคำสอน
สัพพปาปัสสะ อกรณัง อย่าทำบาปทั้งปวง (นี่ไง อกุศลมูล 3 ตัวการเลยแหละ)
กุสลัสสูปสัมปทา สั่งสมกุศลให้พร้อม (นี่ก็คือ กุศลมูล 3 นั่นแหละ)
สจิตตปริโยทัปปนัง ชำระจิตให้มดจดจากกิเลส (ปลายทางคือโมกขธรรม)
เพื่อให้เกิดผลการละชั่วทำแต่กุศลและชำระจิตให้หมดจด ท่านจึงสอนให้หมั่นทำทานมัย สีลมัยและภาวนามัย ที่เรียกบุญกิริยาวัตถุ 3 เมื่อทำบุญจะช่วยทำให้ อกุศลเบาบางลง และขณะเดียวกันก็ช่วยสะสม กุศลมูลมากขึ้น ดังนั้นการทำบุญด้วยการรู้จักหลักการทำบุญ รู้จุดหมายการทำบุญ จึงสำคัญมาก ไม่เช่นนั้นจะกลายเป็นการทำบุญไม่คุ้มค่า เสียดาย....
สัพพปาปัสสะ อกรณัง อย่าทำบาปทั้งปวง (นี่ไง อกุศลมูล 3 ตัวการเลยแหละ)
กุสลัสสูปสัมปทา สั่งสมกุศลให้พร้อม (นี่ก็คือ กุศลมูล 3 นั่นแหละ)
สจิตตปริโยทัปปนัง ชำระจิตให้มดจดจากกิเลส (ปลายทางคือโมกขธรรม)
เพื่อให้เกิดผลการละชั่วทำแต่กุศลและชำระจิตให้หมดจด ท่านจึงสอนให้หมั่นทำทานมัย สีลมัยและภาวนามัย ที่เรียกบุญกิริยาวัตถุ 3 เมื่อทำบุญจะช่วยทำให้ อกุศลเบาบางลง และขณะเดียวกันก็ช่วยสะสม กุศลมูลมากขึ้น ดังนั้นการทำบุญด้วยการรู้จักหลักการทำบุญ รู้จุดหมายการทำบุญ จึงสำคัญมาก ไม่เช่นนั้นจะกลายเป็นการทำบุญไม่คุ้มค่า เสียดาย....
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น