วันจันทร์ที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

ไปแอ่วเจียงใหม่กันเน้อ








................................เว้าเรื่องไปเจียงใหม่.................................

                                                                                                                             โดย ตาสิงห์  เจ้า
................8-10 กรกฎาคม 2559 เจ้านางธนัญธร(อรภา) เปิ้นไปแอ่วเมืองเหนือ ไปงานกินดองลูกหลาน เลยให้ขะเจ้าติดสอยห้อยตาม คอยหิ้วกระเป๋าให้เลยได้ข้อมูลพื้นบ้านไทเจียงใหม่มาเว้าสู่กันฟัง ตามประสาคนตื่นเต้นบ่เคยเห็นไทยเมือง เว้าตามความคิดเห็นเน้อ บ่ใช่วิชาการ เปิ้นให้เขียนลงบ๊ลอกให้เจ้า
..............จองเที่ยวบินไปกล้บสองที่นั่ง สามพันแปดร้อยบาท สายการบิน ไทยในประเทศนี่แหละ ยายว่าไม่แพงหรอกแต่เราแหยง ๆ เสียดายเงิน หลานสาวกับคุณแม่ น้องสะใภ้ที่เป็นพยาบาลที่โรงพยาบาลพุทธโสธร เอื้อเฟื้อไปส่งถึงดอนเมือง พาไปเชคที่นั่ง เชคกระเป๋า เสร็จก่อนเครื่องบินออก 50 นาที เลยชวนไปทานข้าวเช้ากัน ไปศูนย์อาหาร ซื้อบัตรใบละ 100 บาท 4 ใบ คิดว่าคงเหลือ แต่พอไปยืนสั่งอาหาร จานละ 200 บาท ตาจะเป็นลมต้องกลับไปซื้อเพิ่มอีก 5 ใบ เดี๋ยวจะไม่ได้กินน้ำ แหมบ้านเราทำไมมันเจริญเร็วเหลือเกินค่าอาหารจานเดี่ยวนะนี่ แพงกว่าญี่ปุ่นซะอีก ยายถามว่าเป็นไรตา เหงื่อเต็มหน้า เลยบอกไปว่ากินของเผ็ด ยายไปเอาไอติมมาให้แก้เผ็ด ร้อนกินข้าวราดแกงจานละ 200 บาท ยายทานข้าวเสร็จสองแม่ลูกก็ลากลับ 

..............สองตายายก็เดินหน้าพากันไปเชคกระเป๋า เขาให้นำของขึ้นเครื่องได้คนละ 15 กิโลกรัม กระเป๋าเราสองใบ ไม่ถึงสิบห้ากิโลกรัมเลยสบาย ๆ เขาให้ไปรอขึ้นเครื่องที่เกท 43 ถามยายว่าเกต 43 คืออะไร ยายบอกบ้าแล้วตา เกตมันภาษาฝรั่งแปลว่าประตู เขาให้ไปรอขึ้นเครื่องที่ประตู 43 โน่นตามคนอื่นเขาไป เชคอาวุธก่อน ด่านข้างหน้าตรวจอาวุธและของต้องห้าม ของเราไม่มี เพราะไม่ได้เอามา เลยผ่านสบาย ๆ
..........พวกตรวจก่อนเดินนำหน้า ตามกันมาเป็นแถวยาว ไปอาคารผู้โดยสารขาออก ท่องไว้เกต 43 นึกว่าจะหายาก ป้ายเขาบอกสายกรบินในประเทศ ขา ออก ยุ่งซินะ ขาเข้าขาออกยังกะขาไพ่ พวกเดินข้างหน้าแสดงว่าพวกขาออกทุกคน อาคารสนามบินดอนเมืองกว้างแลโล่ง จนน่าตกใจ จำได้เคยมาสมัยปี 2522 คนแน่นแทบหาทางเดินไม่เจอ วันนี้คนน้อย เดินไปมาสะดวกสบาย อ่านป้าย เห็นแต่เกตลำดับต่าง ๆ ผ่านไปเรื่อย ๆ ยังไม่ถึงที่เราจะไปรอ เดินจนเกือบสุดอาคารค่อยเห็น ถามเจ้าหน้าที่เขาดูตั๋วบอกว่าตรงนี้แหละ ตารอหนูเรียกชื่อนะ นั่งรอก่อน เป็นเกตของสายการบิน เขาช่างเลือกเด็กหน้าตาดี ๆมาเป็นพนักงาน เห็นคนนั่งจ้องเขาทำงานกันไม่เบื่อ เราก็ต้องทำตาม ตรงเวลาเป๊ะ ก่อนเครื่องออกเดินทาง 50 นาที เริ่มเรียกชื่อ
..........ผู้โดยสารถือตัวเลขที่นั่ง 1 - 20 มารายงานตัวขึ้นเครื่องได้ค้า อ๋อเรียกแบบนี้เองนึกว่าจะขานชื่อทีละคนแบบครูประจำชั้น เรายื่นตัวและบัตรประชาชนให้ เธอรับไปแล้วจ้องหน้าเรา คงเห็นเราจ้องอยู่ก่อน มั้งเลยยิ้มให้ บอกว่าไปได้ค่ะ ก็เดินไปตามงวงช้างขึ้นรอบนเครื่องเลยค่ะ ก็ไม่เข้าใจนะแต่ก็เดินตามเขาไป ทางเดินแคบ ๆ คล้ายท่อสี่เหลี่ยม ผนังปิดทุกด้าน ไปโผล่ที่เครื่องบ้นเลย สาวหนุ่มคู่หนึ่งยืนดักที่ประตู ขอดูตั๋วแล้วชี้บอกเก้าอี้ที่เราจะนั่ง ไม่มีกระเป๋า มีย่ามใบเดียวสะพายติดตัวไว้ ไปนั่งตรงที่เขาบอก
เห็นเข็มขัดคล้ายของรถทัวร์ก็เข้าใจ รัดเข็มขัดเรียบร้อย แล้วก็สำรวจ เห็นคู่มือการใช้อุปกรณ์เพื่อความปลอดภัยต่าง ๆ อ่านดูอยากรู้มันให้ทำอะไรบ้าง ก็มีวิธีรัดเข็มขัด วิธีใช้หน้ากากออกซิเจน วิธีใช้เสื้อชูชีพ ทางฉุกเฉิน ระหว่างเครื่องกำลังบินขอให้งดใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าต่าง ๆ ไม่นานก่อนเครื่องออกก็มีสาว ๆมาสาธิตการใช้อีกครั้ง ก็น่าดูนะ


..........ใกล้เวลาเขาเตือนรัดเข็มขัด ปรับเก้าอี้ให้ตรง แล้วนั่งรอ ใครจะบริกรรมพุทโธ ๆ ก็ได้นะ มันเงียบจริง ๆ สักครู่ก็ได้ยินเสียงติดเครื่องและมันเริ่มเคลื่อนที่ช้า ๆ คงจะวิ่งไปหาลานบินที่มันยาว ๆ ไม่นานก็เห็นลำอื่นกำลังวิ่งทะยานขึ้น สง่างามและสวยดี อีกไม่กี่นาทีคงถึงตาเรา แต่ว่าเครื่องเราคนมันเยอะนะ แถวละ 6 ที่นั่ง เขาบอกคนร่วมสองร้อย มันจะพาบินขึ้นได้เหรอ สงสัยจะพร้อมแล้วเสียงเครื่องดังลั่น มันแล่นเร็วขึ้น ๆไม่ถึง 5 นาทีเลย ก็ขาหวิดดินแล้วตู มันบินไต่ระดับขึ้นเรื่อย ๆ มองไปทางหน้าต่างเห็นตึกเล็กลง ๆ จนก้อนเมฆบังหมด เห็นแต่เมฆดำมืดไปหมด เขาบอกฝนกำลังจะตกเฮ้อ เมื่อก่อนได้แต่แหงนมองเมฆฝน วันนี้ต้องก้มดูมันอยู่ข้างล่าง ยายนั่งเงียบ กอดแขนตาแน่นเลยถามว่าทำไมยาย เห็นว่าลุ้นเครื่องมันจะบินขึ้นได้ป่าว แหมใจเดียวกันเลยยาย จากนั้นก็ได้ยินประกาศระดับเพดานบิน จะไปถึงเชียงใหม่ในอีก 50 นาที จะมีสาว ๆมาแจกของว่าง น้ำดื่มและขายของขบเคี้ยว



...........กินขนมไม่ทันหมดเล้ย เตือนให้รัดเข็มขัด อีก 15 นาทีจะถึงสนามบินเชียงใหม่แล้ว เสียงเครื่องบินดังครืด ๆ ยังกะรถวิ่งผ่านถนนที่เป็นลูกฟูก เครื่องลดระดับวูบ ๆไม่นานก็เห็นป่าไม้ ภูเขา เขื่อน ตึก รถยนต์วิ่งตามถนน แล้วเครื่องบินก็กระแทกสนามบินที่เขาเรียกรันเวย์ ในที่สุดมันก็หยุดนิ่ง เขาให้ผู้โดยสารค่อย ๆเดินออกทางงวงช้างพอเดินมาถึงอาคารเลยหันกลับไปดู อ๋อ มันทำเป็นกล่องยืดหดได้แบบงางช้าง เลยเรียกทางเดินงวงช้าง ถึงสนามบินเชียงใหม่ เจ้าภาพงานแต่งจัดรถมารับ เพราะมีเพื่อน ๆพยาบาลรุ่นราวคราวเดียวกันมางานเยอะร่วมยี่สิบคน เขาจัดที่พักโรงแรมเดียวกันด้วยแต่เราขอพักอิสระ เขาก็มีน้ำใจให้รถไปส่งที่โรงแรมที่เราจองไว้ ชื่อรอยัลพรรณนารายณ์
..........เข้าที่พักเรียบร้อย สงสัยตาเหนื่อยอาบน้ำแล้วหลับไม่รู้ตัว ฝนตกตลอดทางด้วยแอร์ก็เย็นสบายด้วย มาตื่นอีกก็เกือบห้าโมงเย็น เขามารับไปทานข้าวร่วมกัน มีเพื่อนคนหนึ่งเป็นเจ้าภาพ สามีของเพื่อนรุ่นนี้แหละเดิมเธอก็ตั้งใจจะมาร่วมงานด้วย แต่โชคไม่ดีเธอจากไปแบบไม่กลับเสียก่อน สามีเลยขอจัดเลี้ยงขอบคุณเพื่อน ๆ ที่มีน้ำใจหมั่นไปถามข่วคราวช่วยที่เจ็บป่วยไม่เคยขาด อย่างตากับยายก็ได้ไปเยี่ยมไข้ 2 ครั้ง คงเพราะอย่างนี้เอง จึงขอเลี้ยงขอบคุณเพื่อน ๆ เขาไปจัดที่ห้องอาหารชื่อ "บ้านไร่ยามเย็น"ชื่อเพราะดีนะ ขึ้นชื่อเรื่องอาหารพื้นเมือง ดนตรีก็แบบโฟล์คซอง บรรยากาศดีมาก



............เจ้าภาพจัดเต็ม สั่งเครื่องดื่มทั้งเหล้า เบียร์ ไวน์ น้ำอัดลม ใครทานอะไรได้ก็ไม่ขัดข้อง กับข้าวเมนูพื้นเมืองหลายอย่าง อร่อยมากทุกรายการวันนั้นเขาสังอะไรมาให้รับประทานกันบ้าง ที่เห็นและจำได้คือ ส้มตำลุยสวน ปลาช่อนลุยสวน กับปลารากกล้วยทอดกระเทียม เห็ดถอบแกงค่ัว ลาบหมูสูตรไทยเมือง ต้ำยำปลาบึก รายการที่ชอบมากคือส้มตำลุยสวน จัดใส่จานมานึกว่าอาหารเวียดนามเห็นม้วนกลม ๆห่อนด้วยแผ่นสีขาว ๆ แบบกระยอ ใส่ในเป็นส้มตำ ประดับด้วยเครื่องเคียงพวกผักสด แคบหมู ชิมดู
ส้มตำรสอร่อยมาก ไม่เผ็ด ออกเปรี้ยวหวานนิด ๆ ปลาช่อนลุยสวน คล้ายแกงส้ม ใช้ปลาช่อแดดเดียวทอด และผักคล้ายจะแกงส้ม น้ำซุบอร่อยมาก ปลารากกล้วยทอดกระเทียม เห็นแล้วนึกถึงสมัยเด็กเคยไปทอดแหที่แม่น้ำพอง ที่เขายังไม่สร้างเขื่อนอุบลรัตน์ หน้าหนาวน้ำลด จนน้ำขาดแห้งเป็นช่วง ๆ แต่ยังมีน้ำไหลอยู่ตลอดปี รอยต่อระหว่างวังน้ำหนึ่ง กับวังที่อยู่ถัดไป น้ำจะตื้นแคบ ตอนเย็นและรุ่งเช้า จะมีปลาว่ายข้ามไปมาระหว่างวังน้ำ มืออาชีพอย่างคุณปู่รู้ดี เคยพาไปดักทอดแห ปลาตะเพียนหางสีเหลือง ๆ กับปลารากกล้วยจับได้มากกว่าปลาอื่น ๆ พวกเราเอามาทำแกง ทำห่อหมกก็อร่อยดี แต่สู้ทอดกระเทียมพริกไทยไม่ได้



............ทานข้าวกันอิ่มหนำสำราญดี เพลงก็เพราะแม้จะเป็นเพลงพื้นบ้านก็ตาม ขอบคุณเจ้าภาพคุณ..ประทิน..แพ่งเกษร..........................ที่ชวนไปทานข้าวร้านที่มีบรรยากาศคลาสสิคมาก ๆอาหารก็อร่อยถูกใจ ขอให้เจ้าภาพได้รับน้ำใจไมตรีจากเพื่อน ๆทุกคน ส่งผลให้ได้รับความสุขความเจริญ เป็นเพื่อนที่ดีต่อกันชั่วกาลนาน

............เช้าวันที่ 9 กรกฎาคม 2559 ลงมาจากที่พักจะหาทานกาแฟ โรงแรมไม่มีบริการอาหารเช้า เลยต้องเสาะหากันเอง เดินออกไปสัก 50 เมตรก็เป็นถนนใหญ่ เลี้ยวซ้ายไปนิดหนึ่งก็เห็นร้านก๋วยเตียวเก่า ๆ โต๊ะวางอยู่สามชุด มีเด็กทานก๋วยเตี๋ยวคนเดียว มีหมาสองตัวนั่งมองเด็กอยู่ สีคล้ำ ๆ ตัวหนึ่ง เป็นลูกหมาอายุยังถึงขวบ หน้าตาขี้เล่นเราไม่ทันนั่งมันมาเบียดขาอยากรู้จัก กระดิกหางให้ด้วย เลยตบหัวเบา ๆ เกาคอให้ด้วย กับหมานี่ถ้ายอมให้เกาคอ เกาท้องให้ เสร็จเราแหละแสดงว่ายอมรับเราเป็นเพื่อนอีกตัวสีขาว ๆ แต่คอขึ้นไปจนใบหูดำสนิทไม่เห็นลูกตาเลย นึกว่าจะดุแต่ก็อีหรอบเดิมเห็นเจ้าตัวแรกตีสนิทกับเรามันก็เข้ามาบ้าง กาแฟไข่ลวก ร้านเขาทำให้อร่อยมาก กินไปคุยกับหมาไป ส่วนยายสั่งข้าวผัดเห็นว่าอร่อยมาก อิ่มแล้วก็ชวนกันนั่งรถตุ๊ก ๆ ไปตลาดสด โชเฟอร์จะพาไปตลาดวโรรส ค่าโดยสาร 50 บาท ซักสิบนาทีก็ถึงแล้วแสดงว่าไม่ไกลนัก
..............ลงจากรถตุ๊ก ๆ เห็นแม่ค้าตลาดเช้าวางผักผลไม้และของกินเรียงรายข้างทางพอดีเห็นพระเลยซื้อข้าวเหนียวปิ้งใส่บาตร ก้นบาตรเป็นแบงค์ 20 50 วางอยู่หลายใบมีของยายด้วยใบหนึ่ง ให้พรยายเสร็จเราไปถึงพอดี หลวงพ่อแก่ให้พรอีก ทั้ง ๆ ที่เราบอกว่าไม่ต้องให้พรหรอก เพราะเราไม่อยากได้พร ทำไมหรือ ก็เพราะเรารู้ไงว่า โยมชอบทำให้พระผิดศีล เอาเงินใส่บาตร ต้องอาบัตินิสสัคคีย์ปาจิตตีย์ ถึงพระจะชอบแต่ก็ผิดศีล เป็นบาปทั้งพระทั้งโยม ส่วนการสวดให้พรต้องอาบัติทุกฏ ถึงโยมจะชอบก็มิได้ยกเว้น อันนี้แถมให้สำหรับคนชอบใส่บาตร


.............ตลาดยามเช้าตาชอบเดินดูของพื้นบ้าน อยากรู้มีอะไรมาขายบ้าง เห็ดถอบขวางทางเข้าตลาดถามได้ความว่ากิโลละ 200 บาท ต่างจากบ้านเรากิโลกรัมละ 450บาท เลยซื้อา 1 กิโลกรัม ถัดไปก็เป็นแมงคั่ว จิ้งหรีด ตั๊กแตน แมงตับเต่า ที่ชอบมากคือจินาย(จิ้งหรีดยักษ์) อยากได้เหมือนกันแต่ต้ำทำใจ บ้านอยู่ไกลอีกสองวันถึงจะกลับผักขมมีทั้งขมต้นเล็กและขมใหญ่เห็นแล้วอยากเอาไปทำแกงใส่หมูสามชั้นใส่น้ำย่านางข้น ๆ อร่อยอย่าให้พูดเลย บ้านเราทำไมไม่มีคนเอามาขายมั่งยอดมะระหวาน ยอดบวบ
ยอดฟักทอง กำละห้าบาท ถูกจนอดซื้อไม่ได้
............จะไปดูกระเป๋าแบบย่ามสะพายบ่า เพราะชอบสีสันหลากหลายฉูดฉาด ผ่านแผงขายของแห้งพวกปลาแห้ง เนื้อเค็ม เนื้อแดดเดียว ถามราคาก็ไม่แพง แต่ได้ของเต็มหอบแล้ว เลยรีบผ่านขึ้นไปชั้นบนอาคารตลาดสด เป็นแผงร้านขายเสื้อผ้าทั้งนั้น น่าสังเกตว่าเป็นเสื้อผ้าพื้นบ้านจาก ดอยบ้าง จากต่างอำเภอบ้าง ได้กระเป๋ายามใบหนึ่ง เสื้อยืดสองตัวเอาไปฝากลูก





............สายแล้วเดินไม่ออกเหนื่อย ยังดูไม่ทั่วหรอก เลยต้องกลับ ได้จิ้นส้มทอดกับข้าวเหนียวนึ่งมากินตอนเที่ยง เลยนอนพักสบาย ๆรอจนบ่ายถึงจะมีคนมารับไปงานแต่งตอนนี้ขอหลับก่อนเหนื่อยเดินตลาด..........
..........บ่ายสองโมงเศษฝนตกปรอย ๆแต่งตัวเต็มยศ จะไปงานกินดอง ยายชวนลงไปรอที่ลอบบี้ ฝรั่งมองกันใหญ่จนแปลกใจ ที่แท้เขามองย่าม แสดงว่าเข้าก็รู้ว่าย่ามเรามันคล้ายของพื้นเมืองเชียงใหม่ แต่ชุดที่เราแต่งมันชุดคนทำงานแบบข้าราชการบำนาญมันตัดกันเห็นได้ชัด บางคนแอบอมยิ้ม แต่เราไม่สนใจหรอกเพราะรู้ก่อนแล้ว ตาขาดย่ามบ่ได้ดอก ของใช้มากมายทั้งหยูกยา และอุปกรณ์อีเลคโทรนิก ติดย่ามไว้สะดวกดีรอไม่นานคนรับก็มาถึงรับขึ้นรถแล้วพาฝ่าสายฝนออกไป มาสองวันแล้วไม่ค่อยเจอแดดเลย รู้สึกเย็นสบาย ๆ ไม่ร้อน ดีเหมือนกัน
.........

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น