วันอาทิตย์ที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

เที่ยวงานโอทอปเมืองทอง



เที่ยวงานแสดงสินค้าโอทอปที่เมืองทอง

**************



...........11 มิถุนายน 2559 ยายชวนไปเที่ยวชมงานแสดงสินค้า โอทอปที่เมืองทองธานี ให้เราเป็นสารถี ยายจะเติมน้ำมันให้ มีแม่บ้านกับลูก และหมาตัวโปรด ทาโร่คุกกี้ สองตัวไปด้วย ก็ดี อยู่บ้านมันเงียบเหงา ออกไปนอกบ้านจะได้โล่ง ๆ หน่อย อาชาน แม่บ้าน กำปั้นลูกชาย เขาช่วยกันจับหมาอาบน้ำ แต่งตัว หล่อเริด มันยืนรอที่โรงรถแล้ว เราซะอีกที่ชักช้า ตรวจเชครถพร้อมสำหรับ การเดินทางไกล เปิดประตูให้หมามันขึ้นรถ แสนรู้จริง ๆ นั่งจับ จองเก้าอี้อด้านหน้า พอยายขึ้นมันแย่งกันนั่งตัก คนมาพร้อมก็ ออกเดินทาง จากบ้านแปดริ้วไปเมืองทองธานีก็ประมาณ 100 กม. วิ่งชั่วโมงครึ่งก็น่าจะถึง
...............ออกจากบ้านศรีโสธรตัดใหม่ เลี้ยวขวาซัก 200 เมตรก็ เข้าซอยลิเก ทะลุออกถนนฉะเชิงเทราบางปะกง สองโมงครึ่ง รถ บางตาไม่แน่นเหมือนวันปกติเลยวิ่งตามสบาย ๆ แบบคนแก่ขับ ผู้โดยสารคุยกัน เอะอะ แม่ลูกมันด่ากัน ยายก็ทะเลาะกับหมา มา นั่งตักแม่ทำไม เล็บข่วนเป็นแผลหมดแล้ว ไปอยู่ข้างหลัง กี้มาหา แม่ ทาโร่ถอยไป ทำให้รู้ว่า กี้คือหมาตัวโปรด แต่ทาโร่มันตัวผู้ ซุกซน ไม่นานมันก็มาแอบบนอนเบียด กลายเป็นสองตัวนั่งตัก เห็นยายชอบใจ โม้ว่ามันรักแม่มาก แน่นอน มันคงรู้ออเซาะไว้
ลงรถจะได้กินไก่ย่าง

.............ขึ้นทางด่วน ถนนโล่ง วันเสาร์ ไม่ค่อยมีคนเข้ากรุงเทพ ฯ ค่อย ๆ วิ่งมาเหยี่ยบ 120 เอง ยายว่าขับเร็วไปแล้ว เลยชี้ให้ดูคันอื่น เขาแซงเราทั้งนั้น เราต้องวิ่งแอบซ้ายไว้ เพราะขับช้า คงแซงได้ เฉพาะสิบล้อที่เขาอยู่เลนซ้ายเอาอีก ยายคงเชื่อตามที่เราบอก เห็น เงียบไป ไม่นานนักก็ถึง จตุจักร 2 ผ่านด่านกาแฟ ไปทางงามวงศ์วาน เห็นแยกแคลายที่ลงบ่อยไปพบหมอที่โรงพยาบาลทรวงอก แต่วันนี้ จะเลยไปเมืองทอง เห็นป้ายธรรมศาสตร์รังสิต ตรงไปไม่นานก็เป็น ทางลงเมืองทองธานี เสียเวลาหาที่จอดรถนานเหมือนกัน เพราะรถ คนมาเที่ยวมาก จอดรถแล้วก็จัดหาผ้าคลุมรถกันแดดให้หมาสองตัว จัดกระบะใส่น้ำแข็งไว้ให้ เสร็จแล้วก็พากันเข้าไปอาคารใกล้ ๆ เขา เรียก ฮอลล์1 2 3 4 โผล่เข้าไปเป็นเครื่องไฟฟ้า เครื่องกรองน้ำ เดินดูแล้วก็ผ่านไปอีกอาคารที่เป็นสินค้าโอทอป เห็นเชียก ซาเล้ง เจ้อ มี 1 2 3 4 เหมือนกัน แต่วันนี้คงเอาม่านกั้นออก แลดูโล่ง กว้าง คนจากต่างจังหวัดทุกภูมิภาค เขาเชิญมาหมด เลยมีบูธสินค้าจังหวัด ต่าง ๆมากมาย

.............ยายกับแม่บ้านและหลานขอไปเดินดูสินค้าก่อน เพราะเราหิว เที่ยงแก่ ๆแล้วนี่เลยไปชม บูธ อาหารก่อน เดี๋ยวนี้มีโทรศัพท์กันทุกคน ไม่กลัวหลงแล้ว ส้มตำคือเป้าหมายแรก หลายสูตรหลายจังหวัด ตำปู ปลาร้า ตำปลาร้า ตำป่า ตำซั๊วะ ตำทะเล ตำปูม้า สั่งตำป่า กับ ไก่ย่าง ได้ แล้วเดินหาที่นั่ง ไม่ค่อยมีเต็มทุกโต๊ะ มีสองผัวเมียคู่่หนึ่งชวนให้นั่งด้วย เลยนั่งทานส้มตำที่หัวโต๊ะ เขามองดูจานแล้วแล้วก็ถามว่ามันคืออะไร พอบอกตำป่าเขาก้หัวเราะ สงสัยว่าทำไมเรียกตำป่า เราก็บอกว่าไม่ทราบ ใครตั้งชื่อ แต่คิดว่าเหมาะแล้ว เพราะมันใส่ส่วนผสมมากมาย ไม่น่าเชื่อ ว่าจะรวมกันเป็นส้มตำได้ เท่าที่ดูในจาน เห็น พริก กะเทียม ถัวฝักยาว เส้นมะละกอ มะเขือเทศ มะขามเปียก มะนาว ปูดอง ปลาร้า ส่วนน้ำปลา น้ำตาล ชิมดูก้รู้ว่ามีใส่ด้วย นี่เป็นส่วนผสมส้มตำปูปลาร้า ที่ทำให้เป็นตำ ป่าคงเป็นส่วนที่เกินมา มีผักดอง กะเทียมดอง ผักกะเฉด ผักบุ้ง มะเขือ เปราะ หัวหอยขมสุกแล้ว อ้าวมีไก่ย่างฉีกเป็นเส้นฝอยปนอยู่ด้วย เท่าที่
มองเห็นคงมีเท่านี้ ตำป่าก็ตำป่า อร่อยดีนี่ซัดซะเกลี้ยงจานเลย ราคา ห้าสิบ เขาบอกราคากรุงเทพ ฯ ถ้าทำที่บ้าน ก็สามสิบห้าบาท
.................อิ่มส้มตำก็เดินหาดื่มน้ำ ไปเจอบูธน้ำแร่ เห็นโฆษณาสรรพคุณ ยังกะยาโด้ปเลยทดลองขวดหนึ่งสิบบาท ถามเขาว่าทำไมเรียกน้ำแร่ เพราะ ดื่มแล้วมันก็เหมือนน้ำดื่มทั่ว ๆ ไป เด็กบอก พ่อหนูตั้งชื่อว่าน้ำแร่ค่ะ เออ ถูกของเอ็ง ของหวานมีหลายสิบบูธ ทั้งพวกขนมไทย ผลไม้เชื่อม ที่ชอบมาก คือข้าวหมากห่องละสิบบาทเอง ต้องสองห่อถึงจะรู้รส หวาน หอม ของเขาดี จริง เลยขอซื้อแป้งมี 6 ก้อน เขาบอกใช้ข้าว 1 กิโลกรัมต่อแป้ง 2 ก้อน เอาไป หกก้อนทำได้ถึง 3 กิโลกรัมเชียว ส่งสัยทำกินหมดแป้ง 6 ก้อนนี่ ติดเหล้าแหง เลย เพราะรสมันเหมือสาโทมาก
................บูธเสื้อผ้า มีมากที่สุดในงาน โอทอประดับสุดยอดของแต่ละท้องถิ่น จริง ๆ เสื้อผ้า จากเหนือที่สวยงาม ลวดลายฝีมือเยี่ยมจริงๆ ทางอีสานต้องผ้า ไหม ผ้ามัดหมี่ ลายขิด ผ้าม่อฮ่อมจากเหนือ หมอน ที่นอน ละลานตาจริง ๆ ราคาก็ไม่แพงนัก พอดีเดินไปพบแม่บ้านเขากำลังมัดหมี่สาธิตให้คนชม เลย
ถือโอกาสไปนั่งคุยได้ความรู้มากเหมือนกัน ผ้ามัดหมี่ก็เหมือนจักสานที่ทำ ลวดลายต่าง ๆเพราะใช้ไม้ตอกสีต่าง ๆ ตั้งแนวตั้งก็เหมือนเส้นไหมที่เป็น เครือหูก ตอกสานก็เหมือเส้นไหมที่ใช้ถักทอ ต้องมีลวดลาย ทอออกมาจึงจะ ได้ลายผ้าต่าง ๆ ลายนี้ได้มาจากการมัดหมี่นั่นเอง เครือหูกนิยมใช้สีเดียว
เช่น เหลือง เขียว แดง เส้นทอ ได้จากการนำเส้นไหมหรือด้ายมามัดหมี่ ให้ ได้ลวดลายตามต้องการ ก่อนนิยมใช้ปอเชือกกล้วย แต่ปัจจุบันเชือกฟาง เหนี่ยว แน่นกว่า จะมีหลักสำหรับขึงเส้นไหมที่จะมัดหมี่ เรียก โฮงกว้างกว่าหน้าผ้าที่ จะทอ นำไหมหรือด้ายมีพันวนรอบไปมาสิบรอบ มัดหัวท้ายไว้เป็นเปราะ ๆ จนได้ ครบจำนวนลายที่จะทอ เช่นลายดอกรูปสี่เหลี่ยวข้าวหลามตัด ดอกละ25 เส้น ต้องการ 6 ดอกสำหรับทอเป้นตีนผ้าถุงหมี่ต้องใช้ด้วยหรือไหม 150 เส้น แบบนี้ เป็นต้น จากนั้นก็เริ่มมัดลวดลายตามที่ต้องการ เสร็จก็ถอดออกมานำไปย้อมสี แห้งแล้วนำมากางอีกเพื่อทำสีที่สองที่สามจนครบลายและสีที่ต้องการ
...............หมี่ที่เสร็จพร้อมนำไปทอ จะถูกนำไปปั่นลงในหลอดที่ใช้กับกระสวย ปั่นเต็มหลอดก็จะสำไปร้อยเชือกตามลำดับที่จะทอก่อนหลัง สลับผิดไม่ได้ เดี๋ยว ไม่เป็นลายตามที่มัดไว้ รอยมัดที่โคนหลักขึงโฮงมัดหมี่ จะต้องตรงกัน ลายถึง จะสวย เฮ้อฟังป้าคนมัดหมี่เล่าแล้วราคาผ้าผืนละสองพันห้า ถูกไป มันทำยาก จริง ๆ นอกจากผ้ามัดหมี่ ยังมีผ้าลายจกที่ต้องใช้ไม้เก็บลายทีละเส้น ๆ เก็บเสร็จ ก็เอาไม้ไผ่ยาว ๆสอดไว้แล้วสอดด้ายทอไปด้วย ทอเสร็จได้ลวดลาย 1 ดอก แล้วจะทอตามไม้สอดเก็บไว้ได้อีก 1 ดอก ผ้าลายแบบนี้เก็กลวดลายได้ครั้งละ 2 ดอก ดูแล้วก็สวยไม่แพ้มัดหมี่หรอก คนไทยนี่มีฝีมือด้านการถักทอไม่แพ้ชาติใด ๆ เสียอย่างเดียวขายยังไม่เก่ง สังเกตดูมีแต่คนไทยดูกันเอง เสียดายจัง จัดคราว ต่อไปชวนต่างชาติมาเที่ยวชมบ้างนะครับ






12/6/2559

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น